วิเคราะห์หนังสงครามผ่านหนังสือ

พ.ศ. 2568 เป็นวาระครบรอบ 80 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และครบรอบ 50 ปีการสิ้นสุดสงครามเวียดนาม แต่สงคราม ความขัดแย้ง และการรุกรานยังคงเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของโลกโดยไม่เคยหายไปจากโลกนี้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับหนังสงครามที่เป็นตระกูลหนังยอดนิยมที่ยังมีการสร้างกันอย่างต่อเนื่อง เราชวนทุกท่านมองสงครามผ่านเลนส์ภาพยนตร์ โดยความช่วยเหลือของหนังสือสองเล่มจากห้องสมุดและโสตทัศนสถาน เชิด ทรงศรี


“ลองถามตัวเองสิว่า ความเลวร้ายน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ทำไมถึงสร้างความบันเทิงให้เรามากเสียจนเราหยุดดูมันไม่ได้” นี่คือหนึ่งในคำถามที่นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์คนสำคัญ เดวิด ธอมสัน เขียนไว้ในบทนำของหนังสือ The Fatal Alliance: A Century of War on Film ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 2023 และนี่อาจเป็นคำถามใจกลางของบทวิเคราะห์หนังสงครามจำนวนมากในหนังสือเล่มนี้ ว่าปรากฏการณ์อันน่าเกลียดน่ากลัวอย่างสงครามมีความสัมพันธ์อย่างไรกับภาพยนตร์และคนดูตลอดหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา


ลีลาการเขียนของธอมสันเลื่องลือมาช้านานในหมู่นักอ่าน ด้วยสำนวนจะแจ้งที่แฝงไว้ด้วยการตั้งคำถามย้อนแย้งหรือชวนให้เกิดข้อถกเถียง เลยไปถึงการเสียดสีด้วยตลกร้าย ธอมสันเชื่อมโยงความคิด ความเห็น ข้อสังเกต เข้ากับบริบทการเมือง ประวัติศาสตร์ ปรัชญา หรือแม้แต่ประวัติชีวิตของผู้กำกับ ร้อยเรียงเป็นบทวิเคราะห์วิจารณ์ที่กระตุ้นความคิดในระดับมหภาค ชวนคนอ่านให้คิดไกลไปกว่าแค่หนังดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ แต่เปิดประเด็นให้เห็นความมือถือสากปากถือศีลของมหาอำนาจ และทัศนคติอันย้อนแย้งของหนังสงคราม 




The Fatal Alliance: A Century of War on Film พูดถึงสงครามและหนังสงครามตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมากมาย แทบทั้งหมดเป็นหนังอังกฤษ ยุโรป และอเมริกัน ตั้งแต่หนังที่พูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 Grand Illusion (1937), Gallipoli (1981) และ All Quiet on the Western Front (1930) 

หนังที่สะท้อนภาพสงครามโลกครั้งที่ 2 The Bridge on the River Kwai (1943), The Life and Death of Colonel Blimp (1943), Saving Private Ryan (1998) หนังที่พูดถึงการแทรกแซงของอเมริกาในประเทศต่าง ๆ อย่าง Black Hawk Down (2001) หรือ The Hurt Locker (2008) หรือแม้แต่หนังที่ย้อนไปถึงสงครามระหว่างนโปเลียนกับรัสเซียใน War and Peace ฉบับโทรทัศน์จากปี ค.ศ. 1972 


ธอมสันอุทิศหนึ่งบทขนาดยาวให้แก่หนังที่พูดถึงสงครามเวียดนามที่เขาเรียกว่า “โศกนาฏกรรมร่วมสมัยที่ยังแผดเผาจิตสำนึกของชาวอเมริกัน” ผู้เขียนร่ายยาวถึงหนังหลายเรื่อง เช่น The Green Berets (1968), The Deer Hunter (1978), Platoon (1986), Born on the Fourth of July (1989), Apocalypse Now (1979) และอื่น ๆ อีกมาก ธอมสันมีความเห็นว่า หนังสงครามเวียดนามโดยผู้สร้างชาวอเมริกัน มักจะมีการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจและ “ขี้โม้” จริงอยู่ที่หนังเหล่านี้แสดงออกว่าอเมริกาเสียใจที่เกิดสงครามเวียดนามขึ้น แต่ท่าทีนี้ก็แฝงด้วยความหยิ่งผยอง ราวกับนักรบที่อวดบาดแผลโชกโชนจากการผ่านศึก นี่เป็นบทที่แสดงให้เห็นว่าธอมสันมีฝีปากกล้า ไม่เกรงใจผู้กำกับคนดังใด ๆ เพราะแม้แต่ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ก็โดนเสียดสีว่าสร้าง Apocalypse Now ด้วยความมั่นใจเกินเหตุ และเป็นหนังที่ทำให้เราเห็นว่า สหรัฐอเมริกามักจะฟูมฟายไปเองว่าเมื่อตัวเองแพ้สงครามเท่ากับโลกจะถึงกาลอวสานไปด้วย ธอมสันยังติงว่า หนังสงครามเวียดนามแทบทุกเรื่องไม่เคยมีตัวละครเวียดนามที่มีเลือดเนื้อจับต้องได้เลย


โครงความคิดที่ครอบหนังสือเล่มนี้คือการชวนให้เราไตร่ตรอง มองให้ลึกถึงบทบาทและเจตนาของผู้สร้างสงครามผ่านภาพยนตร์ ตั้งคำถามว่าใครคือผู้ชนะ ผู้แพ้ และมุมมองที่หนังแสดงออกเป็นมุมมองของใคร ในสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศแบบใด โดยกว้าง ๆ ธอมสันตั้งคำถามกับหนังสงครามเรื่องดังหลายเรื่องที่ตีกรอบความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของคนดูทั่วโลก โดยเฉพาะหนังอเมริกัน ประเทศที่ไม่เคยมีสงครามโดยผู้รุกรานจากนอกแผ่นดินเลย แต่กลับเป็นประเทศที่ทำหนังสงครามอย่างจริงจังมากที่สุด


หนังสือยังแวะไปพูดถึงหนังสงครามญี่ปุ่น ราวกับเป็นการถอนพิษจากหนังจากฝั่งผู้ชนะ อย่าง Tora! Tora! Tora! (1970) และ The Human Condition (1959-61) หนังญี่ปุ่นไตรภาคโดย มาซากิ โคบายาชิ ว่าด้วยชีวิตชายชาวญี่ปุ่นที่พลิกผันจากการเป็นเชลยศึกสงครามในแมนจูเรียมาสู่สถานะทหารในกองทัพญี่ปุ่น ไม่บ่อยครั้งนักที่ธอมสันจะฟันธง แต่ในที่นี้เขาลงมติเลยว่า The Human Condition เป็นหนังสงครามที่ดีที่สุดที่เคยสร้างมา 




เสริมมุมมองด้วยหนังสืออีกเล่มที่ช่วยให้เห็นภาพหนังสงครามจากอีกฟากฝั่งความคิด Chinese and Japanese Films on the Second World War เป็นการรวมบทความวิชาการ มี บ.ก. สามคน ได้แก่ King-fai Tam, Timothy Y. Tsu และ Sandra Wilson 


เล่มนี้อาจดูขึงขังและเป็นทางการมากกว่า แต่ข้อมูลและบทวิเคราะห์แน่น นำเสนอมุมมองหลากหลายอย่างละเอียดเกี่ยวกับหนังสงครามโลกที่สร้างโดยคนทำหนังญี่ปุ่นและจีน เช่น บทที่ว่าด้วยสาแหรกของตัวละครที่มีอุดมการณ์ต่อต้านญี่ปุ่นที่ในหนังจีน บทที่พูดถึงสงครามจีน-ญี่ปุ่นใน Ip Man (2008) บทที่อุทิศให้กับการศึกษาหนังสารคดีสงครามจากจีน และบทที่วิเคราะห์ความทรงจำของสงครามจากมุมมองญี่ปุ่นในหนังของสตูดิโอ Toho เหล่านี้ร่วมกันสร้างภาพหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากมุมมองเอเชียได้อย่างครบถ้วน  


หนังสือมีให้บริการที่ห้องสมุดและโสตทัศสถาน เชิด ทรงศรี หอภาพยนตร์ เปิดบริการทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 9.30 น. - 17.30 น. หยุดวันจันทร์ ไม่เสียค่าใช้บริการ ค้นหาหนังสือเพิ่มเติมได้ที่ https://fapot.or.th/main/library

______________________________

โดย ก้อง ฤทธิ์ดี 
ที่มา: จดหมายข่าวหอภาพยนตร์ ฉบับที่ 87 ประจำเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2568