วันที่ 14 มิถุนายน 2568 หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ร่วมกับกลุ่มฉายภาพยนตร์ ELSE จัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์เรื่อง Snakeskin (2014) และ Small Hours of the Night (2024) โดยได้รับเกียรติจากผู้กำกับชาวสิงคโปร์ แดเนียล ฮุย (Daniel Hui) มาร่วมงานเพื่อสนทนาพูดคุยหลังหนังฉาย เป็นการเปิดพื้นที่รับชมและแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับภาพยนตร์ร่วมสมัยของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แดเนียล ฮุยเป็นที่เป็นคนทำหนังสิงคโปร์ที่สร้างชื่อด้วยลีลาการเล่าเรื่องในแบบกึ่งสารคดี กึ่งเรื่องแต่ง โดยหยิบจับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์มาเล่าผ่านวิธีการเชิงหนังทดลอง ทั้งการใช้ภาพและเสียงที่ชวนให้เกิดการตีความ และการผสมเทคนิคแบบฟิคชั่นในงานที่ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นสารคดี
Snakeskin เป็นหนังที่ใช้เสียงของตัวละครห้าคนเล่าเรื่องชีวิตของตัวเอง เชื่อมโยงไปกับประวัติศาสตร์การสร้างชาติสิงคโปร์ แสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ส่วนตัวบางครั้งไม่อาจะแยกออกจากประวัติศาสตร์แบบทางการของรัฐ ส่วน Small Hours of the Night เป็นงานใหม่ที่ใช้นักแสดงสองคน เล่าถึงคดีการเมืองอื้อฉาวของสิงคโปร์ที่รู้จักกันในชื่อ คดีป้ายหลุมศพ (The Tombstone Trial) อันเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์พรรคคคอมมิวนิสต์ของสิงค์โปร์
Snakeskin การันตีคุณภาพด้วยรางวัล Special Jury Prize สาขาภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตริโน ปี 2014 และรางวัล New Asian Currents – Award of Excellence จากเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติยามากาตะ กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่หอภาพยนตร์ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับแนวคิด และแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของเขา จึงสรุปประเด็นถาม-สำคัญมาดังนี้
ภาพ: ฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Snakeskin (2014)
Q: หลาย ๆ คนคงจะคุ้นเคยภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง Snakeskin อยู่บ้าง แต่ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 Small Hours of the Night นั้นนับเป็นการจัดฉายครั้งแรกในประเทศไทย และยังเป็นครั้งแรกที่ภาพยนตร์สองเรื่องนี้ฉายพร้อมกัน คุณกล่าวว่าภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องเปรียบเป็นพี่น้องกัน และทั้งสองทำหน้าที่ในการเล่าประวัติศาสตร์ขนาดเล็กของสิงคโปร์ (micro history) อยากให้ช่วยอธิบายบริบทและพื้นหลังทางประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์เพิ่มเติม
A: ผมได้แรงบันดาลใจในการสร้าง Small Hours of the Night ขณะที่ผมค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง Snakeskin ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายซ้าย และสิงคโปร์ในช่วงปี 1950 ผมได้ค้นเจอคดีเกี่ยวกับการจับกุมผู้สร้างป้ายหลุมศพ แต่ด้วยกรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 1970 ถึงช่วงต้นยุค 1980 ผมจึงไม่สามารถนำเรื่องราวเหล่านี้ไปรวมกับ Snakeskin ได้ เลยตัดสินใจที่จะสร้างภาพยนตร์แยกออกมา
ในเชิงโครงสร้างภาพยนตร์ ทั้งสองเรื่องทำหน้าที่สลับกันอย่างน่าสนใจ Snakeskin นำเสนอเรื่องราวของตัวละครทั้งห้าคนโดยไม่ปรากฏบทสนทนาระหว่างพวกเขา เราได้ยินเพียงเสียงบรรยายของพวกเขาซ้อนทับกับภาพทิวทัศน์ของประเทศสิงคโปร์ ในทางตรงกันข้าม Small Hours of the Night ก็เล่าถึงตัวละครทั้งห้าคนเช่นกัน แต่เลือกใช้วิธีการเล่าผ่านบทสนทนาของตัวละครเพียงสองคน ภายในห้องเดียว
Q: คดีการจับกุมผู้สร้างป้ายหลุมศพเกิดอะไรขึ้น อยากให้คุณช่วยเล่าเกี่ยวกับคดีนี้เพิ่มเติม
A: ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาของสิงคโปร์ชื่อว่า ตันเชวา ถูกจับตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอ น้องชายของเขา ตันชูบุน จึงจัดทำป้ายหลุมศพที่บอกเล่าประวัติของพี่ชายพร้อมข้อความบนจารึก “เป็นสมาชิกคอมมิวนิสต์ เกิดในครอบครัวที่ยากจน ต่อสู้และตายอย่างวีรบุรุษ” แต่ปรากฏว่าการทำป้ายหลุมศพทำให้ตันชูบุนถูกจับและถูกตัดสินว่ามีความผิด ผมคิดว่ามันสะท้อนอะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับการปิดกั้นของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ใช้กฎหมายเพื่อกำหนดความรับรู้ร่วมกันของคนในประเทศ แม้แต่คนที่ตายไปแล้วยังถูกเซ็นเซอร์ได้
จริง ๆ กฎหมายในลักษณะนี้มีในหลายประเทศ ทว่าสิงคโปร์เป็นประเทศใหม่และช่วงทศวรรษ 1980 เป็นช่วงที่ผมเห็นว่ารัฐบาลมีความพยายามที่จะใช้กฎหมายมากำหนดวิธีคิดของประชาชน
ภาพ: บรรยากาศระหว่างกิจกรรมสนทนาพูดคุยหลังฉายภาพยนตร์
Q: อยากให้คุณเล่าถึงทางเลือกในการจัดการโครงสร้างระหว่างความจริง และองค์ประกอบที่แต่งเติมเข้ามา ในกระบวนการเตรียมงานทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องโดยวิธีนี้
A: เดิมทีตอนที่ผมเริ่มหารือเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ผมตั้งใจสร้างสารคดีประวัติศาสตร์ แบบที่เล่าตรง ๆ มีสัมภาษณ์คนอะไรแบบนั้น แต่ผมกลับไม่ชอบวิธีแบบนั้น เพราะการนำประวัติศาสตร์มาเล่าตรง ๆ โดยปราศจากมุมมองอื่น ๆ เพิ่มเติม จะทำให้ประวัติศาสตร์ถูกผนึกให้จบและตายไป เหมือนกับเป็นสิ่งจากอดีต ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ใช่ เพราะประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมองจากมุมมองที่ต่างจากเดิม ผมจึงเลือกใช้วิธีการผสานระหว่างเรื่องจริงและเรื่องแต่งเพื่อนำเสนอแก่ผู้ชม
Q: ใน Small Hours of the Night เราเห็นตัวละครเพียงสองตัวแต่พวกเขามาเล่าเรื่องราวของคน 5 คน ตัวละครทั้ง 5 ได้แรงบัลดาลใจจากใครบ้าง
A: สองนักแสดงในเรื่องเล่าเรื่องคนห้าคน ได้แก่ ตันเชวา ตันชูบุน เรื่องราวของผู้หญิงที่ฆ่าลูกตนเอง [เป็นเรื่องเล่าย่อยภายในเรื่องใหญ่] ผู้พิพากษาผู้ตัดสินคดีป้ายหลุมศพ และสุดท้ายคือวิคกี้ ซึ่งเป็นตัวละครเดียวที่มาจากจินตนาการของผม โดยได้รับแรงบัลดาลใจจากเรื่องราวของผมเอง
Q: อะไรทำให้คุณสนใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายในสิงคโปร์
A: ต้องย้อนกลับไปที่ช่วงที่ผมเตรียมภาพยนตร์เรื่อง Snakeskin ขณะนั้นตรงกับช่วงเวลาฉลองอิสรภาพ 50 ปีของสิงค์โปร์ รัฐบาลพยายามป้อนโฆษณาชวนเชื่อแก่ประชาชนถึงการสร้างชาติ จากการค้นคว้าทำให้ผมตระหนักว่าความคิดฝ่ายซ้ายมีส่วนสำคัญอย่างมากในช่วงเวลาการสร้างชาติสิงคโปร์และการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยจากอังกฤษ ประชาชนสิงคโปร์และแม้แต่พรรคการเมืองสิงคโปร์ในตอนนั้นมีความคิดเอนเอียงเป็นฝ่ายซ้ายแบบสังคมนิยม ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผล เนื่องจากคนสิงคโปร์ในยุคแรกเป็นคนที่มีความเชื่อมโยงกับจีนแผ่นดินใหญ่ แม้แต่อังกฤษก็กลัวว่าสิงคโปร์จะกลายเป็นคิวบาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อังกฤษจึงร่วมกับมาเลเซียในการกวาดล้างแนวคิดฝ่ายซ้ายในตอนนั้น
ภาพ: แดเนียล ฮุย ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Snakeskin (2014) และ Small Hours of the Night (2024)
Q. ย้อนกลับไปพูดถึง Snakeskin เราทราบกันดีว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เลือกที่จะถ่ายทอดประวัติศาสตร์ในอีกแง่มุมของสิงคโปร์ คุณมีกระบวนการคิดและวางแผนในการเล่าเรื่องอย่างไร
A: ผมมักหลีกเลี่ยงการเล่าประวัติศาสตร์แบบวีรบุรุษ แต่เลือกเล่าเรื่องของคนทั่วไปมากกว่า เพราะประวัติศาสตร์แบบวีรบุรุษมักหลงลืมบุคคลเหล่านี้ไป ประวัติศาสตร์ขนาดย่อย หรือ micro history อาจจะไม่ใช่ประวัติศาสตร์แบบทางการ และอาจจะมีข้อขัดแย้งกันในตัวเอง เพราะเป็นความทรงจำหรือประสบการณ์ส่วนตัว แต่สำหรับผมมันกลับมีค่ามากกว่า
Q: ความสัมพันธ์อันซับซ้อนของประวัติศาสตร์ (History) นิทานหรือเรื่องเล่า (Myth) และภาพยนตร์ (Cinema) เป็นความสนใจหลักของคุณ ในบางครั้งเรื่องเล่าก็ถูกทำให้เป็นประวัติศาสตร์ ส่วนประวัติศาสตร์ก็ถูกอ้างอิงมาจากเรื่องเล่า และในบางครั้งภาพยนตร์ก็ทำหน้าที่ส่งเสริมหรือขัดแย้งสิ่งที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคุณมีความพยายามที่จะคลี่คลายประเด็นเหล่านี้ คุณคิดอย่างไรบ้างกับนิยามของสามคำนี้
A: ก่อนอื่นผมคิดว่าประวัติของชาติของสิงคโปร์เป็นเรื่องเล่า ผมคิดว่าคุณคงจะเห็นได้ชัดใน Snakeskin ในทางกลับกันผมคิดว่าประวัติศาสตร์แบบจุลภาคเป็นเรื่องจริง ส่วนคำว่าภาพยนตร์ ในตอนที่ผมกำลังทำเรื่อง Snakeskin ในช่วงปี 2013 - 2014 ผมไม่มั่นใจในนิยามของมันและไม่รู้ว่ามันจะมีอำนาจแค่ไหน ทว่าขณะที่เวลาผ่านไป 10 ปี ตอนที่ทำ Small Hours of the Night ผมคิดว่าผมค้นพบแล้วว่าภาพยนตร์คืออะไร ภาพยนตร์มีความสามารถในการแสดงความจริงในช่วงเวลานั้น ดั่งคำที่ ปิแอร์ เปาโล ปาโซลินี พูดไว้ว่า “เวลากล้องถ่ายต้นไม้ มันไม่ได้หมายถึงแค่ต้นไม้ต้นไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นต้นไม้ต้นนั้น ณ เวลานั้น” ดังนั้นภาพยนตร์จึงพลังและความสามารถในการยืนยัน “ความจริง” ที่อยู่ตรงหน้า
Q: ภาพยนตร์อาจจะตั้งคำถามกับประวัติศาสตร์หรือเรื่องเล่า ทว่าภาพยนตร์หลายเรื่องเช่นภาพยนตร์ของคุณก็ไม่ได้ถูกฉายในวงกว้าง แต่ในขณะเดียวกันผู้คนก็ยังรับรู้ประวัติศาสตร์ตามตำราแบบเดิม ๆ อยู่ คุณคิดอย่างไรกับประเด็นนี้
A: เราอยู่ในโลกหลังโควิด โควิดเป็นเชื้อโรคเล็ก ๆ ทว่ากลับมีอำนาจในการควบคุมโลกนี้อยู่นานถึง 2 ปี ผมจึงไม่อยากที่จะละเลยความสำคัญของสิ่งเล็ก ๆ เพราะสิ่งเล็ก ๆ ถึงแม้เราอาจมองไม่เห็นมัน ทว่ามันยังคงมีอิทธิพลต่อความเป็นไปของมนุษย์เสมอ การทำหนัง การไปเจอผู้ชม หรือตอบคำถาม แม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ผมคิดว่าสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้มีพลังสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
ภาพ: (ซ้าย) ก้อง ฤทธิ์ดี และ (ขวา) แดเนียล ฮุย
Q: เนื่องจากคุณตัดต่อภาพยนตร์ด้วยตัวคุณเอง ขณะที่คุณถ่ายทำคุณมีรูปแบบการตัดต่อที่คิดไว้อยู่แล้วหรือไม่
A: ในการตัดต่อภาพยนตร์ของผู้กำกับคนอื่น ๆ ผู้สร้างแต่ละคนมักจะมีภาพในหัว และผมมักจะเสนอการจัดเรียงใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดความคาดไม่ถึง และหมายที่ลึกซึ้งขึ้น กลับกันเมื่อผมทำงานของตนเอง ผมพยายามจะไม่คิดแบบคนตัดต่อ ผมพยายามจำกัดพื้นที่การถ่ายทำเพื่อไม่ให้ตนเองมีตัวเลือกในการตัดต่อได้มากเกินไป
Q: เวลาในหนังของคุณมักจะสลับไปมา จนไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงไหน
A: ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่ชมภาพยนตร์ ผมคิดว่าเวลามักจะทับซ้อนกันในภาพยนตร์ ภาพยนตร์ทำให้ผมสนใจประวัติศาสตร์ และผมเชื่อว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่ยังดำเนินอยู่ ผมจึงตั้งใจใส่ความทับซ้อนของเวลาเข้ามา เช่น การเล่าว่าเป็นยุคหนึ่ง ทว่าภาพกลับฉายเป็นยุคหนึ่ง ทุกครั้งที่เราฉายภาพยนตร์ เรื่องในอดีตกลับมามีความหมายในปัจจุบันเสมอ ดังนั้นเวลาในภาพยนตร์จึงไม่เคยตายตัวอยู่แล้ว
อย่างตอนที่ผมกำลังทำเรื่อง Snakeskin ผมสนใจการนำเสนอภาพฝ่ายซ้ายผ่านภาพยนตร์ แต่ภาพของสิงคโปร์ในยุคนั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่ พอไม่มีภาพคนในยุคปัจจุบันจึงไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งที่เคยเป็นในขณะนั้นนั้นได้ ผมจึงคิดว่าการมีภาพจึงมีส่วนช่วยสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ได้
Q: สิงคโปร์มีกลุ่มที่มีแนวคิดฝ่ายซ้ายหรือไม่
A: มีกลุ่มฝ่ายซ้ายใหม่ ๆ หลายกลุ่ม ทว่ารัฐบาลใช้วิธีการทำให้แต่ละกลุ่มไม่สามารถรวมตัวกันได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4-5 ปีหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แต่ละกลุ่มเริ่มรวมตัวกันได้ด้วยแนวคิดร่วมในกรณีปาเลสไตน์ ผมเชื่อว่านี่เป็นความหวังอย่างหนึ่ง