จดหมายจากสยามกุ ?

โดย โดม สุขวงศ์


ในสหรัฐอเมริกา มีสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ มากมาย เฉพาะในวงการภาพยนตร์ก็มีสมาคมวิชาชีพด้านภาพยนตร์หลายสาขาอาชีพ สมาคมวิชาชีพผู้เขียนบทภาพยนตร์ (Screen Writers Guild) ซึ่งคนในวงการนักเขียนบทภาพยนตร์จัดตั้งกันขึ้นตั้งแต่ ปี 1933 และยังคงอยู่จนปัจจุบัน ดูแลสมาชิกเรื่องผลประโยชน์ เรื่องค่าจ้าง เรื่องลิขสิทธิ์ เรื่องวิชาการวิชาชีพ สมาคมได้ออกวารสารจำหน่ายแก่สมาชิกและคนทั่วไป แต่เปลี่ยนชื่อบ้าง หยุดไปบ้าง ตามสถานการณ์และคณะกรรมการบริหารสมาคม มีวารสารรายเดือนของสมาคม ใช้ชื่อ The Screen Writer ตีพิมพ์ออกจำหน่ายระหว่างปี 1945 ถึง 1948 ตั้งแต่ฉบับแรกเดือนมิถุนายน 1945 มี ดาลตัน ทรัมโบ (Dalton Trumbo) เป็นบรรณาธิการคนแรก จนถึงฉบับธันวาคม 1946 แล้วเปลี่ยนบรรณาธิการเป็นคนอื่นอีกหลายคน จนฉบับสุดท้าย ตุลาคม 1948


วารสาร The Screen Writer นี้นับเป็นวารสารที่เสนอบทรายงานข่าวสาร บทสัมภาษณ์ บทความวิชาการเกี่ยวกับวงการเขียนบทภาพยนตร์ และมักมีบทความที่เสนอประเด็นการเมืองด้วย เช่น ด้านเสรีภาพของการพูดและเขียน สิทธิแรงงาน ลิขสิทธิ์และสัญญา เป็นต้น ดาลตัน ทรัมโบ บรรณาธิการคนแรกของวารสาร เป็นนักเขียนบทภาพยนตร์โดดเด่นคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด และเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ เขาคือหนึ่งในสิบของบุคคลในแบล็คลิสต์ของฮอลลีวู้ดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงและถูกจำคุก



ต่อมา Screen Writers Guild ได้ปรับองค์กรไปรวมกับสมาคมวิชาชีพเขียนบทโทรทัศน์แห่งอเมริกา กลายเป็น สมาคมนักเขียนบทแห่งอเมริกา Writer Guild of America (WGA) ในปี 1954 ซึ่งแบ่งเป็นสาขาฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก มีการออกวารสารของสมาคมทั้งสองสาขา แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นวารสารออนไลน์แล้ว

วารสาร The Screen Writer ยุคทศวรรษ 40 มีคอลัมน์เกือบประจำอยู่อย่างหนึ่งในหัวข้อ Letter from…คือจดหมายจากผู้แทนหรือผู้สื่อข่าวของวารสารนอกอเมริกา รวมทั้งบางครั้งจากผู้อ่านส่งมา เช่น Letter from Paris Letter from London Letter from Denmark. Letter from Venice Letter from Brussels และวันหนึ่งก็มี Letter from Siam คือฉบับเดือนสิงหาคม 1948 ซึ่งช่วงนั้น จอห์น ลาร์กิน (John Larkin) เป็นบรรณาธิการ จดหมายนี้ส่งมาจาก เชียงใหม่ สยาม โดยผู้ใช้นามว่า Pradit Prabang ตีพิมพ์อยู่หน้าหลังปก และไปต่อจบหน้า 21

จดหมายจากสยามน่าพิศวงมาก จึงขอแปลมาเสนอ คำในวงเล็บเป็นคำที่ผู้เขียนบทความนี้อ่านออกเสียงเอง ดังนี้ 

----------------------------------
จดหมายจากสยาม 
โดย Pradit Prabang (ประดิษฐ์ พระบาง ?)



เชียงใหม่, 21 กรกฎาคม — มีความสุขยิ่งที่ได้รับ วารสาร สกรีนไร้เทอร์ ฉบับ มิถุนายน-กรกฎาคม จากญาติที่ฮอลลีวู้ด. ผมเห็นว่า นายซามูเอลฟูลเลอร์ ทำถูกแล้วที่ซ่อนความคิดแฝงไว้ในบทความของเขา — แต่ที่นี่เรายังคงขายขาดสิทธิ์มิได้ให้เช่าอย่างที่โน่น. แต่เวลาจะมาถึง; ที่งานเขียนของใครก็ตามไม่ควรและต้องไม่ถูกขายขาดไปตลอดกาล.
 
ความยินดีอย่างหนึ่งของเราคือการที่การสร้างภาพยนตร์ของเรามีเพิ่มมากขึ้น : เราไม่ต้องดูหนังโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นอย่างที่ดูกันในสมัยสงคราม. หนังจีนและหนังอินเดียกลับมาฉายที่นี่อีกครั้ง รวมถึงหนังอเมริกันด้วย. น่าสนใจมากที่ได้เห็น ดอธ ลามัวร์ ; ในเรื่อง นางสาวโคราช เรามีผู้เลียนแบบลามัวร์ซึ่งเป็นเอตทัคคะในเรื่องผ้านุ่ง. หนังของเธอ, ผ้านุ่งเก่า, หรือ สาวผ้านุ่งเก่า ดีงามและป็อปปิวลาร์มาก.

Klon’pet ton (โคลน เพท ต้น?), บริษัทใหม่และบริษัทเดียว, เพิ่งจะสร้างหนังไทยเรื่องที่สามหลังสงครามจบ ; เรื่องที่สี่และที่หกพร้อมที่จะสร้างแต่เรื่องที่ห้าถูกยกเลิก. หลวงศิวราม, นักประพันธ์ผู้แต่งเรื่อง Pai (ไผ่ ?), เรื่องที่สาม, กำลังอยู่ในขั้นการตัดต่อ. ทีนี้, คุณจึงรู้ว่านักประพันธ์ได้ควบคุมการตัดต่อหนังของเขาเอง—โดยการตกลงกันกับผู้สร้าง—และโดยไม่มีการร่วมไม้ร่วมมือระหว่างนักประพันธ์ด้วยกัน. นักประพันธ์มีไม่มากเลยในสยาม และมีหัวทางธุรกิจมาก.

Lao luk can (ลาวรักกัน?) คือเรื่องที่กำลังแต่งโดย Pra Manudharm (พระมนูธรรม ?), เป็นนาฏกรรมชีวิตจริงของกสิกรในลุ่มน้ำสัก. Phra Pong(พระ ปอง?) ผู้กำกับชั้นนำของเรา, อยากทำเป็นหนังเทคนิคคัลเลอร์ แต่ภูมิอากาศไม่เป็นใจ : มันยากที่จะเก็บรักษาฟิล์มสี-หรือแม้ฟิล์มอื่นใด-ในสภาพอากาศของเรา, และยิ่งไปกว่านั้น, มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้สีเทคนิคหรือกล้องของระบบนี้.

Aditya Mekong (อาทิตย์ แม่โขง ?), ผู้อำนวยการสร้าง-ผู้ถ่ายภาพ, จะทำเรื่อง nirat (นิราศ ?), Phumhon (ภูม่อน ?), เกี่ยวกับเจ้าหญิงซึ่งถูกรักโดยช้างตัวหนึ่ง. อาจจะดูแปลกปลาดสำหรับชาวตะวันตก, มันเป็นนิทานแสนหวานจาก Nok khum (นกคุ้ม?). นักประพันธ์ทุกคนต่างอยากได้รับเกียรตินี้ แต่มันตกเป็นของ Miss Ruang Ruang (นางสาว รวง รวง?) ผู้เป็นมารดาของบุตรสาวทั้งเจ็ดของมิสเตอร์แม่โขงและเป็นภรรยาของเขาด้วย.

Prajadhipok (ประชาธิปก) เป็นหนังที่ถูกยกเลิก, เป็นเรื่องของพระเจ้าแผ่นดินปัจจุบันของเราซึ่งครั้งหนึ่งเคยเสด็จประพาสประเทศของคุณ. ประเด็นการเมืองแหละ, ผมคาด. มันอาจจะแทนที่ด้วยหนัง Khao Thailand (ข่าวประเทศไทย ), แต่ชื่อเรื่องนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็น Khao Siam (ข่าวสยาม) แล้ว เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาในรามาที่ 6 ได้ถูกเปลี่ยน และ Thailand (ประเทศไทย) มาเป็น Siam (สยาม) อีกครั้ง ซึ่งเป็นที่โล่งอกของบรรดาพวกเราผู้ที่ต้องสะกดคำนี้.

ประดิษฐ์ พระบาง, ผู้แต่งเรื่องเกี่ยวกับทะเล, Krat (กราต?) อันลือเลื่อง, เป็นหนึ่งในนักเขียนบทภาพยนตร์ที่มีชื่อของสยาม.

--------------------------------
จดหมายฉบับนี้น่าพิศวงงงงวย เพราะข้อมูลที่เสนอหากตรวจสอบข้อเท็จจริงในปัจจุบันจะไม่พบหลักฐานเลย เป็นการกล่าวขึ้นลอย ๆ และออกจะเพี้ยน ๆ
 
การระบุว่า นางสาวโคราช (Miss Korat) เลียนแบบ โดโรธี ลามัวร์ (Dorothy Lamour) ดารานักร้องนักแสดงชาวอเมริกันผู้เลื่องชื่อในภาพจำสวมใส่ผ้านุ่งในหนังบางเรื่องของเธอในสมัยนั้น โดยนางสาวโคราช (ซึ่งผู้เขียนน่าจะหมายถึงนางงามโคราชในสมัยนั้นที่มาแสดงภาพยนตร์) แสดงในหนังไทยเรื่อง ผ้านุ่งเก่า หรือ สาวผ้านุ่งเก่า หนังเรื่องนี้ค้นไม่พบว่ามีอยู่จริง

ชื่อบริษัทสร้างหนัง Klon’pet ton ก็ไม่รู้จะอ่านออกเสียงอย่างไรให้ได้ความ ผู้เขียนจดหมายนี้ระบุว่าบริษัทนี้เพิ่งสร้างหนังไทยเรื่องที่สามหลังสงครามเสร็จแล้ว เรื่องที่สี่และหกก็พร้อมสร้าง แต่เรื่องที่ห้าถูกยกเลิก และว่าเรื่องที่สามที่สร้างเสร็จคือเรื่อง Pai ไม่รู้ควรอ่านว่า ไผ่ หรือไป หรือ ป้าย หรือ ไผ ดี เป็นเรื่องที่แต่งเรื่องโดย Luang Sivaram จะอ่านว่า หลวง ศิวาราม หรือ หลวงศิวราม ก็ไม่แน่ แต่ทำหน้าที่ตัดต่อหนังด้วย โดยมีข้อตกลงกับผู้สร้างหนัง ผู้เขียนจดหมายนี้บอกว่า นักเขียนไทยไม่มีการร่วมไม้ร่วมมือกัน และนักเขียนในสยามก็มีจำนวนไม่มาก แต่พวกเขามีหัวทางธุรกิจมาก

หากดูจากข้อมูลในหนังสือ ภาพยนตรานุกรมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ปี พ.ศ. 2470 - 2499 จะพบว่า หนังไทยที่สร้างหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีน้อยมาก ปี พ.ศ. 2488 ไม่มีเลย ปี พ.ศ. 2489 มีสามเรื่อง คือ ชายชาตรี ชอนกาเหว่า และ นางนาคพระโขนง ภาคพิเศษ ปี พ.ศ. 2490 ไม่มีเลย ปี พ.ศ. 2491 มีสามเรื่อง คือ บางขวาง ดอยรักดอยร้าง และ ลานท่าฟ้า แต่ถ้าคิดว่าผู้เขียนจดหมายเขียนจดหมายในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2491 ก็จะจบแค่เรื่อง บางขวาง ซึ่งออกฉายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2491 จึงมีหนังไทยหลังสงครามออกมาเพียงสี่เรื่อง เรื่องที่สามคือ นางนาคพระโขนง ภาคพิเศษ ซึ่งไม่ตรงกับที่ผู้เขียนจดหมายกล่าวถึงว่าคือเรื่อง Pai


ส่วนเรื่อง Lao luk can จะอ่านว่า ลาวลักกัน หรือ เรารักกัน ก็ไม่รู้ ซึ่งผู้เขียนจดหมายบอกว่า กำลังแต่งขึ้นโดย Pra Manudharm จะอ่านว่า พระ มานุดห่าม หรือ พระมนูธรรม ก็ไม่รู้ และว่าเป็นเรื่อง documentary drama ซึ่งสมัยนี้เรียกว่า ดอกคิวดรามา เกี่ยวกับกสิกรหนุ่มหรือสาวคนหนึ่งในท้องที่ Nam Sak ซึ่งอาจอ่านว่าแม่น้ำสัก แต่ที่น่าตื่นเต้นคือ ผู้เขียนจดหมายบอกว่า Phar Pong ซึ่งอาจอ่านว่า พระ พง หรือ พร้า ป้อง หรือ ป๋าป่อง ก็ดี เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชั้นนำของเรา และอยากจะทำหนังเรื่องนี้เป็นหนังเทคนิคคัลเลอร์ ซึ่งน่าจะหมายถึงหนังสีระบบถ่ายขาวดำสามฟิล์มผ่านฟิลเตอร์สามสี แล้วนำมาพิมพ์ย้อมสีเป็นสีธรรมชาติ ซึ่งในสมัยนั้นมีหนังสีเทคนิคคัลเลอร์ที่โด่งดังทั่วโลก เช่น วิมานลอย (Gone with the wind) นี้ถ้าเป็นเรื่องจริงนับว่าป๋าป่องทะเยอทะยานหาญกล้ามาก แต่ดีที่อากาศสยามไม่อำนวยและหากล้องระบบนี้ไม่ได้จึงไม่ได้ทำ

Aditya Mekong หากอ่านว่า อาทิตย์ แม่โขง ที่ผู้เขียนจดหมายบอกว่าเป็นผู้อำนวยการสร้างและตากล้อง และจะทำหนัง nirat story ซึ่งถ้าแปลว่าเรื่องแบบ นิราศ ชื่อเรื่อง Phumhon ซึ่งอาจอ่านว่า ภูม่อน หรือ ภูมิหน ก็ได้ เป็นนิทานรักที่ช้างตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าหญิง น่าขันแท้ที่ผู้เขียนจดหมายบอกว่าบรรดานักประพันธ์ทั้งหลายต่างอยากได้รับเกียรติให้เขียนบทเรื่องนี้ แต่ว่าเกียรตินี้ตกเป็นของแม่ของลูกสาวเจ็ดคนของผู้อำนวยการสร้าง 

สุดท้าย หนัง ประชาธิปก ซึ่งถูกห้ามฉาย ก็พิกลที่ผู้เขียนจดหมายอ้างอิงรัชสมัยผิดยุค คือ ระบุว่าเป็นกษัตริย์ปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นปี 1948 เป็นสมัย ร. 9 หนัง ประชาธิปก นี้ถ้าตีความตามข้อเขียน เขาอาจหมายถึงหนังข่าว ร. 7 เสด็จประพาสสหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ. 2474 และท้ายที่สุดการอ้างถึงพระราชกฤษฎีกาใน ร. 6 ซึ่งดูเหมือนเขาอ้างว่าเป็นพระราชกฤษฎีกาที่เปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย ได้ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นสยามอีก เป็นความเพี้ยนบวม ๆ

น่าสังเกตว่า บรรณาธิการวารสาร The Screen Writer คงไม่มีพื้นความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับวงการภาพยนตร์สยาม และคงเชื่อสนิทใจว่า Pradit Prabang (ซึ่งน่าจะเป็นชาวเชียงใหม่) เป็นนักเขียนเรื่องทะเล เรื่อง Krat ที่โด่งดังจริง และเป็นหนึ่งในนักเขียนบทภาพยนตร์ที่ลือชื่อของสยามจริง 

แต่อย่างน้อย จดหมายจากสยามของประดิษฐ์ เป็นเอกสารจดหมายเหตุให้เราศึกษาว่า คนสยามก็อ่านวารสารภาพยนตร์เฉพาะทางหนัก ๆ นอกจากวารสารประเภทแฟนดารา และคนสยามเป็นคนตลกหน้าตายได้พอ ๆ กับโกหกหน้าตาย