นิทรรศการ Archival Time on Our Retina จัดขึ้นโดยหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ณ อาคารสรรพสาตรศุภกิจ จัดแสดงระหว่างวันที่ 11 กุมภาพันธ์ จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นนิทรรศการหมุนเวียนที่สะท้อนการหลอมรวมระหว่างความทรงจำและเวลา ผ่านการจัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยและคลังภาพยนตร์ของหอภาพยนตร์ ซึ่งได้รับการคัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อจัดแสดงในครั้งนี้
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่จัดแสดงผู้ชมจะพบกับภาพบนกล่องแสงขนาดใหญ่ที่ได้รับการออกแบบให้มีลักษณะของเรตินา เป็นสัญลักษณ์ของกระบวนการบันทึกและประมวลผลความทรงจำของมนุษย์ ภาพนี้นำทางไปสู่เนื้อหาของนิทรรศการที่ล้วนเป็นการทดลองขยายขอบเขตของการฉายภาพจากคลังภาพยนตร์ (Archive) ผ่านฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ทาบทับกับผลงานร่วมสมัยจาก 4 ศิลปิน ได้แก่ อุกฤษณ์ สงวนให้, นักรบ มูลมานัส, จุฬญาณนนท์ ศิริผล และ ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์
เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าหลักเราจะพบกับผลงาน Trip After (2566) โดย อุกฤษณ์ สงวนให้ เร้ากระตุ้นให้สายตาต้องสัมผัสจอภาพที่ถูกฉายบนโครงไม้ที่จงใจสร้างเพื่อสอดคล้องกับรูปแบบหนังกลางแปลงทางภาคอีสาน ที่ศิลปินใช้ในการสำรวจประวัติศาสตร์ร่วมกับภาพยนตร์ พัฒนากร (2506) ภาพยนตร์เรื่องนี้เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือเผยแพร่อุดมการณ์รัฐในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยหน่วยข่าวสารเคลื่อนที่ (MIT) ที่ดำเนินการโดยสำนักข่าวสารอเมริกัน (USIS) และรัฐบาลไทย ผลงานชิ้นนี้ทำหน้าที่เป็นเสมือนบันทึกการเดินทางที่ย้อนรอยสถานที่ฉายภาพยนตร์เหล่านี้ในอดีต ถักทอกับฟุตเทจร่วมสมัยที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับอิทธิพลของสื่อภาพยนตร์ที่มีต่อชุมชนและความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ภาพ: Trip After (2566) โดย อุกฤษณ์ สงวนให้
แต่เมื่อเข้ามากลางโถงห้องจะพบกับผลงาน All the Poetry and the Pity of the Scene (2566) โดย นักรบ มูลมานัส ผลงานนี้ประกอบด้วยวิดีโอจอเดี่ยวคั่นกลางแผ่นกัดกรดทองแดง 2 แผ่นที่สร้างขึ้นจากเทคนิคดิจิทัลคอลลาจ รวมทั้งหนังสือจากวรรณกรรม 2 เรื่องที่เขียนห่างกันถึง 150 ปี ได้แก่ “The English Governess at the Siamese Court” (2413) โดย แอนนา เลียวโนเวนส์ (Anna Leonowens) บอกเล่าเรื่องราวในราชสำนักสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 จากสายตาของหญิงชาวตะวันตก และ “มันทำร้ายเราได้แค่นี้แหละ” (2562) ของ ภรณ์ทิพย์ มั่นคง มาสร้างบทสนทนาเชิงสมมติร่วมกับน้ำเสียงของภรณ์ทิพย์ ที่สะท้อนถึงบทบาทของผู้หญิงในบริบททางสังคมและการเมืองของไทย ซึ่งก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการเล่าเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่มีแง่มุมอันซับซ้อนหลากหลาย และไม่จำเป็นต้องเป็นการเล่าเรื่องที่เป็นเส้นตรงตามที่มักจะถูกนำเสนอในกระแสหลักเสมอไป ผลงานนี้นำมาแสดงครั้งแรกในประเทศไทยหลังจัดแสดงที่ประเทศสิงคโปร์
ภาพ: All the Poetry and the Pity of the Scene (2566) โดย นักรบ มูลมานัส
ผนังสีแดงฉานดึงดูดให้เข้าไปรับชมเป็นผลงานของ จุฬญาณนนท์ ศิริผล ในชื่อ อินทรีแดง แสงมรกต: บทเรียนจากคลังข้อมูล (2568) เป็นส่วนหนึ่งของชุดผลงาน Red Eagle Sangmorakot: No More Hero in His Story โดยมีที่มาจากโครงการวิจัยทางมานุษยวิทยาศิลปะระหว่างศิลปินร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านมวยไทย ยีน ศิษย์อาจารย์โจ้ และ กษมาพร แสงสุระธรรม ในฐานะภัณฑารักษ์ของโครงการนี้ จุฬญาณนนท์ได้นำฟุตเทจ "การฝึกซ้อมมวยไทย" (2506) และภาพยนตร์เรื่อง จ้าวอินทรี (2511) ซึ่งตัวละครเอกคือ อินทรีแดง ภาพประติมากรรมอินทรีแดงที่ได้รับการสแกนผสานกับฟุตเทจการฝึกซ้อมมวยของเขาเองเป็นเวลากว่า 3 เดือน ได้กลายเป็นชุดข้อมูลดิจิทัลที่หลอมรวมเข้ากับอินทรีแดง แสงมรกต กระบวนการอ่านข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับการทับซ้อนกันของข้อมูลหลายชุดนี้ เปรียบเสมือนการบันทึกภาพความทรงจำให้กับทั้งอินทรีแดงและอินทรีแดง แสงมรกต ไปพร้อมกัน
ภาพ: อินทรีแดง แสงมรกต: บทเรียนจากคลังข้อมูล (2568) โดย จุฬญาณนนท์ ศิริผล
ผลงานนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับ Red Eagle Sangmorakot: The Door of Chikan Tower (2024) ซึ่งเป็นภาพโปสเตอร์ที่บันทึกการเดินทางของอินทรีแดงไปแสดงผลงานที่ประเทศไต้หวัน
ทว่าเมื่อเดินตามเสียงสั่นสะเทือนและเสียงที่แว่วมาจากมุมหนึ่งของห้องจะพบกับผลงาน The Age of Anxiety (2556) โดย ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ นำเสนอการรื้อถอนและประกอบสร้างใหม่จากภาพยนตร์ไทยในยุค 1980 เพื่อสำรวจช่วงเวลาแห่งความโกลาหลอันเป็นที่มาของการเปลี่ยนผ่านทางสังคมและการเมืองของไทยในทศวรรษ 2010 เศษเสี้ยวนับพันของภาพยนตร์เก่าที่คุ้นตานำมาประกอบร้อยขึ้นใหม่เป็นภาพยนตร์ทดลองที่สะท้านถึงความทรงจำที่ถูกบิดเบือนและสร้างขึ้นใหม่ เสมือนเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยจางหาย แต่กลับปรากฏซ้ำในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปตามยุคสมัย ไทกิสร้างการรับรู้ใหม่ที่ประทับและกระทบต่อโสตประสาทและความรู้สึกที่ผูกโยงถึงการนึกคิดซึ่งยากจะอธิบาย
ภาพ: The Age of Anxiety (2556) โดย ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์
อย่างไรก็ตาม นอกจากผลงานของศิลปินหลักแล้วนิทรรศการนี้ยังนำเสนอผลงาน Soon to be Forgotten (2566) ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างหอภาพยนตร์, Rolling Wild และ 8 นักทำหนัง อรรฆย์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา, นิติวัฒน์ ชลวณิชสิริ, นวรัตน์ แววพลอยงาม, ทินฉาย มนต์, พจนี เอนกวนิช, วรัตต์ บุรีภักดี และ นววรรณ ศุขโข โดยศิลปินได้ใช้ฟิล์ม Super 8 บันทึกภาพกรุงเทพฯ ที่กำลังจะเลือนหายผูกร้อยกับภาพหนังกำพร้าเรื่องหนึ่ง ท่ามกลางเสียงพากย์จากอดีตที่ได้รับการคัดสรรจากคลังภาพยนตร์ นำมาร้อยเรียงเป็นผลงานที่สะท้อนความหลากหลายของสิ่งที่อาจเลือนรางจากความทรงจำในอนาคต หากแต่ยังเป็นบทสนทนาอันลึกซึ้งเกี่ยวกับการเก็บรักษาและการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ผ่านสื่อภาพยนตร์ และเชื้อเชิญให้ฉุกคิดถึงการดำรงอยู่ของสิ่งที่เคยเป็น อันอาจหลุดรอดไปจากการรับรู้ในวันข้างหน้า
ภาพ: Soon to be Forgotten (2566) โดย หอภาพยนตร์, Rolling Wild และ 8 นักทำหนัง
ไม่เพียงแต่ผลงานจากศิลปินร่วมสมัย นิทรรศการนี้ยังคัดสรรภาพยนตร์ในคลังที่หอภาพยนตร์ได้อนุรักษ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สารคดี ข่าว โฆษณา ภาพยนตร์สมัครเล่น ภาพยนตร์สั้น และภาพยนตร์ทดลอง คัดเลือกผ่านการมองเห็นและการรับรู้ที่ต่างชวนให้ไตร่ตรองถึงกระบวนการการมองภาพอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นำมาแสดงบน 9 จอ มากกว่า 78 เรื่อง แบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่ในชื่อ “คลังภาพยนตร์”, “กรุหนังกรมรถไฟหลวง [2468 - 2475]” และ “[สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่กลับออกจากป่า] [2528]”
“คลังภาพยนตร์”
ภาพยนตร์อนุรักษ์ที่นำเสนอผ่าน 4 จอข้างกัน แสดงถึงเรื่องราวของสังคมและกาลเวลา ภาพข่าวบันทึกเหตุการณ์สำคัญและกระแสประวัติศาสตร์ที่มีผลยาวนาน รวมทั้งภาพยนตร์สมัครเล่นถ่ายทอดชีวิตประจำวันที่เรียบง่าย ภาพยนตร์กีฬาเผยให้เห็นจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันและความมุ่งมั่น และภาพยนตร์สารคดีที่นำเสนอความก้าวหน้าทางสังคม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแค่การฉายภาพยนตร์ แต่ยังเป็นการบันทึกชีวิตและยุคสมัยที่เมื่อฉายพร้อมกันแล้วจึงหมุนวนอยู่ในกาลเวลาไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดลง
“กรุหนังกรมรถไฟหลวง [2468 - 2475]”
ในปี 2465 กองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว กรมรถไฟหลวง ถูกตั้งขึ้นเพื่อผลิตภาพยนตร์ข่าวและสารคดีเผยแพร่กิจการของรัฐและพระราชกรณียกิจ รวมถึงการท่องเที่ยวสยาม โดยมีที่ทำการอยู่ที่สถานีรถไฟกรุงเทพ หัวลำโพง ในปี 2524 โดม สุขวงศ์ ค้นพบฟิล์มกว่า 500 ม้วนจากกองภาพยนตร์นี้ ซึ่งถ่ายทำในสมัยรัชกาลที่ 7 ในนิทรรศการจึงได้เลือกสรรภาพยนตร์จากกรุนี้มาจัดแสดงกว่า 17 เรื่องผ่าน 2 จอ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสภาพแห่งอดีตผ่านเรตินา
“[สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่กลับออกจากป่า]”
สารคดีชุดนี้เริ่มต้นจากการสัมภาษณ์ผู้ที่ออกจากป่านับสิบชีวิต โดยทีมงานของ ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ แต่โครงการหยุดชะงัก ต่อมาในปี 2528 ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา และ คำรณ คุณะดิลก ได้นำเทปสัมภาษณ์ไปตัดต่อออกอากาศในรายการ “พฤหัสสัญจร” ภายใต้ชื่อ “คนป่าคืนเมือง” ถือเป็นบันทึกเหตุการณ์สำคัญในยุคสงครามเย็นและหลังสงครามเย็นเกี่ยวกับการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ไทย บทสัมภาษณ์ชุดนี้มีความยาวถึง 705 นาที แบ่งออกเป็น 3 ตอน ซึ่งเป็นโอกาสให้พินิจพิเคราะห์อย่างใกล้ชิด
เมื่อพิจารณาจากผลงานแต่ละชิ้น จะพบว่าทั้งหมดล้วนสำแดงถึงเครื่องมือแห่งความทรงจำ ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้สำรวจความหมายที่ซ่อนเร้น ทั้งนี้ เพื่อขยายขอบเขตการรับรู้ในการรับชมผ่านการบันทึกและอ่านซ้ำประวัติศาสตร์ในรูปแบบที่หลากหลาย ภาพยนตร์จึงไม่ได้เป็นเพียงภาพเคลื่อนไหวที่ฉายบนจอ แต่เป็นร่องรอยแห่งกาลเวลาที่เชื่อมร้อยอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน เน้นย้ำถึงสภาวะการไหลเวียนและเหลื่อมซ้อนกันของคลังภาพยนตร์ นอกจากจะพาให้ภาพและผู้คนได้ต่างสำรวจซึ่งกันและกันแล้ว ยังเปิดโอกาสให้เกิดการตีความใหม่ ๆ พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่กระตุ้นการขบคิดจากช่องว่างของการรับรู้ อันสามารถขยับขยายไปสู่มิติที่เปิดกว้าง นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงและดำเนินไปอย่างไม่หยุดนิ่ง
นิทรรศการ Archival Time on Our Retina เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร-อาทิตย์ (หยุดจันทร์) เวลา 9.30-17.30 น. ณ ห้องนิทรรศการชั้น 2 อาคารสรรพสาตรศุภกิจ หอภาพยนตร์ ไม่เสียค่าเข้าชม
เขียนโดย ลลิตา สิงห์คำปุก
ที่มา จดหมายข่าวหอภาพยนตร์ฉบับที่ 86 ประจำเดือนมีนาคม - เมษายน 2568