[ประมวลฉากเพลง 35 มม. ในหนังไทย 16 มม.]

ฟิล์ม 35 มม. / สี / เสียง / ความยาว 69 นาที

ปีออกฉาย ลมหวน (2508) กาเหว่า (2509) ลมหนาว (2509) แสงเทียน (2509) มดแดง (2510) และ ปิ่นรัก (2510)


หนังไทย 16 มม. หรือ “หนังสิบหก” เป็นชื่อเรียกเฉพาะของภาพยนตร์ไทยในยุคสมัยหนึ่งที่นิยมถ่ายด้วยฟิล์มสมัครเล่นขนาด 16 มม. ไม่บันทึกเสียงขณะถ่ายทำ และใช้วิธีการพากย์สดในโรง เนื่องจากประหยัด สะดวก และผลิตได้รวดเร็วกว่าการถ่ายทำด้วยฟิล์ม 35 มม. บันทึกเสียงลงในฟิล์มตามมาตรฐานสากล ขนบการสร้างหนังไทย 16 มม. นี้ เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกิดปัญหาขาดแคลนฟิล์มภาพยนตร์ และได้รับความนิยมต่อเนื่องจนกลายเป็นผลผลิตส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมากว่า 20 ปี ก่อนจะสิ้นสุดลงในกลางทศวรรษ 2510


อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าว ยังได้เกิดธรรมเนียมการสร้างฉากเพลงด้วยฟิล์มภาพยนตร์ 35 มม. และบันทึกเสียงลงฟิล์ม แทรกในหนังไทย 16 มม. ด้วย โดยถ่ายด้วยสัดส่วนภาพมาตรฐานหรือ Academic ซึ่งเกือบจะเท่ากับสัดส่วนภาพของหนัง 16 มม. มาตรฐานเช่นกัน เข้าใจว่าการถ่ายฉากเพลงเป็น 35 มม. เสียงนี้ ผู้สร้างต้องการให้เห็นความสวยงามของฉากเพลง เพราะภาพที่ฉายจากฟิล์ม 35 มม. จะให้ความละเอียดและสว่างสดใสกว่า 16 มม. และบันทึกเสียงร้องให้ตรงปากผู้แสดง ในขณะที่หากถ่ายระบบ 16 มม. และเปิดแผ่นเสียงหรือเทปเสียงร้อง มักมีปัญหาขลุกขลักและภาพเสียงไม่ตรงกันแต่ละรอบฉาย.


จากหลักฐานพบว่า ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ริเริ่มวิธีการนี้คือเรื่อง นกน้อย (2507) สร้างโดย กัญญามาลย์ภาพยนตร์ ของ ดอกดิน กัญญามาลย์ ซึ่งได้ขอพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ “ชะตาชีวิต” มาเป็นเพลงนำของเรื่อง และประชาสัมพันธ์ว่า ได้ถ่ายทำฉากเพลงพระราชนิพนธ์นี้ด้วยฟิล์ม 35 มม. เสียงในฟิล์ม ต่อมา จึงมีผู้สร้างภาพยนตร์ไทยรายอื่น ๆ ดำเนินรอยตามอีกจำนวนมาก จนเกิดการเรียกล้อเล่นกันในวงการว่า หนัง 51 มม. (16+35) โดยเวลาฉายในโรงภาพยนตร์ ตัวหนังซึ่งเป็นฟิล์ม 16 มม. จะฉายด้วยเครื่องฉาย 16 มม. มีนักพากย์คอยพากย์เสียงสด ๆ แต่เมื่อถึงฉากเพลงซึ่งมีเสียงเพลงในฟิล์ม จะสลับไปฉายด้วยเครื่องฉาย 35 มม. และเปิดเสียงในฟิล์มซึ่งโดยหลักคือเสียงเพลงและดนตรีของฉากเพลงนั้น 

ปัจจุบัน ฟิล์มหนังไทย 16 มม. เกินกว่าครึ่งที่ทำออกฉายทั้งหมดในช่วงนั้นได้สูญหายหรือเสื่อมสภาพ ไม่มีเหลือมาให้ดู เนื่องจากเป็นฟิล์มชนิดรีเวอร์ซัล ซึ่งสามารถล้างแล้วนำไปตัดต่อฉายได้เลย ทำให้ไม่มีต้นฉบับเนกาทีฟเก็บไว้ และบางเรื่องที่ฟิล์มหนัง 16 มม. หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน แต่หากเคยมีฉากเพลง 35 มม. ประกอบ ฉากเพลงเหล่านั้นก็มักไม่ได้อยู่ติดมาด้วย เนื่องจากถ่ายทำและจัดฉายคนละระบบฟิล์ม อาจมีบางเรื่องที่มีการพิมพ์ฉากเพลงย่อเป็นฟิล์ม 16 มม. ตัดต่อรวมไปในฟิล์มภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เพื่อนำไปฉายตามโรงต่างจังหวัดหรือกลางแปลง ที่ไม่มีเครื่องฉาย 35 มม. แต่ฉากเพลงที่พิมพ์ย่อเหล่านั้น จะถูกพิมพ์ลงบนฟิล์มสำหรับพิมพ์สำเนาฉายปกติ เช่น อาจจะเป็นฟิล์มสีอีสต์แมน โกดัก สีฟูจิ หรือสีอักฟา ก็ตาม พร้อมพิมพ์ร่องเสียงไว้ด้วย ซึ่งฟิล์มสำเนาแบบนี้สีจะไม่คงทนเท่าฟิล์มสีรีเวอร์ซัล 16 มม. ที่เป็นฟิล์มถ่าย สีจะจางหายและเนื้อฟิล์มมักจะเสื่อมสภาพไปก่อนหรือมากกว่าฟิล์มถ่ายซึ่งเป็นเนื้อหลักของหนัง เมื่อตกทอดมาถึงปัจจุบัน สำเนาฉากเพลงเหล่านี้จึงมีอาการเสื่อมสภาพทั้งภาพและเสียงจนหมดความงามตามต้นฉบับที่แท้จริง

[ประมวลฉากเพลง 35 มม. ในหนังไทย 16 มม.] ชุดนี้ เป็นชุดฉากเพลง 35 มม. ของหนังไทย 16 มม. ที่ยังคงหลงเหลืออยู่อย่างสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ค้นพบ ซึ่งหอภาพยนตร์ได้รับฟิล์มต้นฉบับเนกาทีฟ 35 มม. ทั้งภาพและเสียง มาจากบริษัท Rank Organisation ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2537 พร้อมกับฟิล์มเนกาทีฟภาพยนตร์ 35 มม. เรื่องอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งที่ผู้สร้างหนังไทยเคยส่งไปใช้บริการพิมพ์-ล้างที่นั่น และทางบริษัทได้เก็บรักษาฟิล์มไว้ 

ชุดฉากเพลงนี้ประกอบไปด้วยฉากเพลงจากภาพยนตร์ทั้งหมด 6 เรื่อง ได้แก่ ลมหวน (2508) กาเหว่า (2509) ลมหนาว (2509) แสงเทียน (2509) มดแดง (2510) และ ปิ่นรัก (2510) โดยทุกเรื่องนั้น ตัวฟิล์มภาพยนตร์ 16 มม. ไม่หลงเหลือให้ชมแล้ว ยกเว้นเรื่อง ปิ่นรัก ที่เคยมีผู้นำฟิล์มหนัง 16 มม. ที่เหลืออยู่มาจัดทำเป็นวีดิทัศน์ออกจำหน่าย แต่ก็ไม่มีฉากเพลงปรากฏอยู่เช่นกัน

รายละเอียดโดยย่อของฉากเพลงแต่ละเรื่องจากกรุของบริษัท Rank Organisation มีดังนี้



1. ลมหวน (2508) สร้างโดย กัญญามาลย์ภาพยนตร์ กำกับโดย ดอกดิน กัญญามาลย์ ซึ่งเป็นการสร้างต่อจากความสำเร็จของเรื่อง นกน้อย พบฉากเพลง 5 ฉาก ความยาว 20 นาที ได้แก่
- ฉากที่ 1 เป็นฉากร้องเพลง แสดงโดย เพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกของเรื่อง โดยสันนิษฐานว่าเป็นฉากร้องร่วมกับเพื่อน ๆ ในโรงเรียนกินนอน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ตัวละครนี้ถูกภรรยาใหม่ของพ่อ ยุแหย่ให้พ่อส่งเธอมาอยู่ที่นี่ และห้ามไม่ให้พบกับใครอย่างเด็ดขาด
- ฉากที่ 2 เป็นฉากเต้นระบำประกอบเพลงบรรเลง ในฉากโรงถ่ายที่สร้างขึ้นมาใหม่อย่างดงามราวกับความฝัน
- ฉากที่ 3 เป็นฉากร้องเพลง “ลมหวน” แสดงโดย เพชรา เชาวราษฎร์ เพลงลมหวนนี้ประพันธ์คำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ทำนองโดย หม่อมหลวงร้อย สนิทวงศ์ และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ เคยเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง แม่สื่อสาว (2481) ของบริษัท ไทยฟิล์ม นอกจากนั้น ในฉากนี้ยังปรากฏให้เห็น วิไลวรรณ วัฒนพานิช ผู้รับบทแม่ของนางเอกที่ต้องพลัดพรากจากลูก และ ศรีนวล แก้วบัวสาย ร่วมแสดงด้วย
- ฉากที่ 4 เป็นฉากร้องเพลง “ลมหวน” แสดงโดย เพชรา เชาวราษฎร์ อีกครั้ง แต่เปลี่ยนฉากหลังเป็นฉากเดียวกับฉากที่ 2 ฉากนี้ปรากฏให้เห็นนักแสดงเด่น ๆ อีก เช่น มิตร ชัยบัญชา และ ดอกดิน กัญญามาลย์ ท้ายฉากมีการต่อสู้กันอุตลุต โดยขณะที่ตัวละครสนทนาจะไม่มีเสียง สันนิษฐานว่า ใช้วิธีการพากย์สดในโรง
ฉากที่ 5 เป็นฉากครองคู่ของ มิตร ชัยบัญชา และ เพชรา เชาวราษฎร์ ซึ่งเป็นฉากจบของเรื่อง



2. กาเหว่า (2509) สร้างโดย ศิรินทราภาพยนตร์ กำกับโดย ดอกดิน กัญญามาลย์ พบฉากเพลง 1 ฉาก ความยาว 3 นาที เป็นฉากร้องเพลง “กาเหว่า” แสดงโดย โสภา สถาพร นางเอกของเรื่อง



3. ลมหนาว (2509) สร้างโดย นันทนาครภาพยนตร์ กำกับโดย พร้อมสิน สีบุญเรือง (พันคำ) พบฉากเพลง 4 ฉาก ความยาว 13 นาที ได้แก่
- ฉากที่ 1 เป็นฉากเครดิตไตเติลของเรื่อง ปรากฏชื่อภาพยนตร์ ผู้สร้าง นักแสดงนำ และทีมงาน โดยมีฉากหลังเป็นวงดนตรีคีตะวัฒน์ของ ไพบูลย์ ลีสุวัฒน์ กำลังบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ “ลมหนาว” มี อาดิงดิลล่า เป็นวาทยกร
- ฉากที่ 2 เป็นฉากร้องเพลง “ลมหนาว” ถ่ายทำในโรงถ่าย แสดงโดย เพชรา เชาวราษฎร์
ฉากที่ 3 เป็นฉากร้องหมู่เพลง “ลมหนาว” ถ่ายทำนอกสถานที่ แสดงโดย มิตร ชัยบัญชา และ เพชรา เชาวราษฎร์ ร่วมด้วย ชรินทร์ นันทนาคร, ดอกดิน กัญญามาลย์ และ อรัญญา นามวงษ์ ที่รับเชิญมาแสดงภาพยนตร์เป็นเรื่องแรก
- ฉากที่ 4 เป็นฉากเพลงสรรเสริญพระบารมี บรรเลงโดยวงดนตรีคีตะวัฒน์



4. แสงเทียน (2509) สร้างโดย กัญญามาลย์ภาพยนตร์ กำกับโดย ดอกดิน กัญญามาลย์ พบฉากเพลง 4 ฉาก ความยาว 14 นาที ได้แก่
- ฉากที่ 1 เป็นฉากร้องเพลงสอนพยัญชนะไทยให้แก่เด็ก ๆ ในห้องเรียน แสดงโดย เพชรา เชาวราษฎร์, ดอกดิน กัญญามาลย์ และ อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา
- ฉากที่ 2 เป็นฉากร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “แสงเทียน” แสดงโดย เพชรา เชาวราษฎร์ ร่วมด้วย อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา และ ดอกดิน กัญญามาลย์ นอกจากนี้ ยังเห็น กรุง ศรีวิไล ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนักแสดงประกอบ ปรากฏรวมอยู่ในกลุ่มนักเต้นประกอบฉากนี้ด้วย
- ฉากที่ 3 ฉากร้องเพลงเกี่ยวกับการขับรถและการเข้ากรุง ซึ่งถ่ายทำบนท้องถนนกรุงเทพฯ จริง ๆ ปรากฏให้เห็นบรรยากาศ สถานที่ และผู้คนในเมืองหลวงของไทย พ.ศ. นั้น แสดงโดย ดอกดิน กัญญามาลย์, อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา, ด.ญ.วชิราภรณ์ พึ่งสังข์, ดาวน้อย ดวงใหญ่ และกลุ่มสามศักดิ์ สักรินทร์ ปุญญฤทธิ์, มีศักดิ์ นาครัตน์ และทนงศักดิ์ ภักดีเทวา
- ฉากที่ 4 ฉากเพลงร้องบรรยายความงดงามของกรุงเทพมหานคร ผ่านภาพสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น พระบรมมหาราชวัง, วัดพระแก้ว, พระที่นั่งอนันตสมาคม และเชิดชูพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์และพระราชินี



5.  มดแดง (2510) สร้างโดย กัญญามาลย์ภาพยนตร์ กำกับโดย ดอกดิน กัญญามาลย์ พบฉากเพลง 3 ฉาก ความยาว 12 นาที ได้แก่
- ฉากที่ 1 ฉากร้องเพลงเศร้าตัดพ้อในชะตาชีวิต แสดงโดย เพชรา เชาวราษฎร์ ต่อด้วยฉากเพลงสนุกสนานให้กำลังใจนางเอกโดย ดอกดิน กัญญามาลย์ และ อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา
- ฉากที่ 2 ฉากร้องเพลง “มดแดง” ซึ่งเป็นเพลงประจำเรื่อง นำแสดงโดย เพชรา เชาวราษฎร์ ดอกดิน กัญญามาลย์ และ อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา ร่วมกับกลุ่มเด็ก ๆ
- ฉากที่ 3 ฉากร้องเพลง “แพลอย” แสดงโดย มิตร ชัยบัญชา ร่วมกับ เพชรา เชาวราษฎร์ 



6. ปิ่นรัก (2510) สร้างโดย นพรัตน์ภาพยนตร์ กำกับโดย ดอกดิน กัญญามาลย์ พบฉากเพลง 2 ฉาก ความยาว 7 นาที ได้แก่
- ฉากที่ 1 ฉากร้องเพลงรำพันถึงความรักที่ริมทะเล สันนิษฐานว่าถ่ายทำที่หัวหิน ตามฉากหลังของท้องเรื่อง แสดงโดย เพชรา เชาวราษฎร์ ดอกดิน กัญญามาลย์ และ อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา
- ฉากที่ 2 ฉากร้องเพลงเศร้าโต้ตอบกันระหว่าง มิตร ชัยบัญชา และ เพชรา เชาวราษฎร์ พระเอกนางเอกของเรื่อง

ฉากเพลงที่หลงเหลืออย่างสมบูรณ์ สีสันสดใส และสวยงามตระการตาเหล่านี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการหนังไทยยุคนั้น ยังถือเป็นตัวแทนที่ยังมีชีวิตอยู่ของหนังไทย 16 มม. จำนวนหนึ่งที่สูญหายหรือเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ตลอดจนสามารถแสดงให้เห็นว่า หนังไทยในยุคดังกล่าวมีเสน่ห์และศักยภาพมากขนาดไหนเมื่ออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม รวมทั้งเป็นประจักษ์พยานในความสามารถของบรรดานักแสดงและคนทำหนังไทย หนึ่งในนั้นคือ ดอกดิน กัญญามาลย์ ผู้ริเริ่มแนวคิดฉากเพลง 35 มม. และได้ใช้ฝีมือผนวกกับจินตนาการอันบรรเจิด สร้างสรรค์บรรดาฉากเพลงหลากหลาย ซึ่งต้องสอดประสานทั้งการแสดง การร้อง และการเต้น เพื่อสร้างความเพลิดเพลินและอารมณ์ร่วมให้แก่ผู้ชม