[InArchive] มนต์ที่พ่อเสกใน....."ลูกอีสาน"

* InArchive เป็นเซกชั่นบทความที่หอภาพยนตร์นำข้อเขียนจากนิตยสารหรือหนังสือเก่า ซึ่งหอภาพยนตร์อนุรักษ์ไว้ มาเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา


โดย คณิต คุณาวุฒิ 

ที่มา: หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ วิจิตร คุณาวุฒิ พ.ศ. 2540 



มนต์ที่พ่อเสกใน....."ลูกอีสาน"

โดย คณิต คุณาวุฒิ


ในช่วงเวลาที่วรรณกรรมเรื่อง ลูกอีสาน (2525) ได้รับรางวัล ซีไรต์ และ อาคำพูน บุญทวี กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงทั่วไปในแง่ของคุณค่าที่หนังสือเล่มนั้นมีต่อผู้อ่าน และการที่มีบทบาทต่อความคิดของสังคมในแง่ของการที่เรามองย้อนอดีต เห็นความดี และ ความสวยงามของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ วรรณกรรมเล่มนั้นถูกซื้อลิขสิทธิ์ และเสนอมาที่พ่อ ให้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ จากไฟว์สตาร์ พ่อเขียนไว้ในบทความที่ไว้อาลัย คุณเกียรติ เอี่ยมพึ่งพร...



ภาพ: วิจิตร คุณาวุฒิ หรือ "คุณาวุฒิ" (สวมหมวก) ผู้กำกับภาพยนตร์ ลูกอีสาน (2525) กับ คำพูน บุญทวี เจ้าของบทประพันธ์ ขณะสำรวจพื้นที่ภาคอีสานก่อนถ่ายทำ 


"จาก คนภูเขา (2522) คราวนี้เป็นฝ่ายเขา (เกียรติ เอี่ยมพึ่งพร) เองที่โยน ลูกอีสาน บทประพันธ์ของคำพูน บุญทวี ที่ชนะการประกวดอาเซียน เมื่อปี 2522 มาให้ ผมนำมาลูบคลำอยู่พักหนึ่ง รวมทั้งไปตระเวนอีสานเพื่อเลือกสถานที่ถ่ายทำมาเสียเกือบรอบ แล้วผมก็บอกเขาว่า ผมอยากจะผ่อนสักระยะก่อนลงมือ เพราะพลังคนแก่ ไฟมันใกล้จะหมดเชื้อเต็มที ก็ยังจำได้ไม่ลืม ที่เขาตอบผมอย่างล้อ ๆ ว่า “ตามสบายของเฮียเถอะ เมื่อไรก็เมื่อนั้น จะเติมไฟเติมเชื้ออย่างไรก็ขอให้บอกจะได้ช่วยบริการ" ผมจะกราบวิญญาณของเขา พร้อมกับปฏิญาณว่า ผมจะสร้าง ลูกอีสาน ให้เขาได้สมใจเท่าที่ความสามารถของผมจะมีอยู่" 


เวลาผ่านพ้นไปอีกนานพอควร พ่อหวนกลับมายังความคิดในการสร้างวรรณกรรมเล่มนี้… จากตัวหนังสือที่สานไว้ด้วยจินตนาการ ให้กลายมาเป็นภาพเคลื่อนไหว สะกดผู้ดูทั้งไทย และทั่วโลกจากคุณค่าที่ ลูกอีสาน (2525) ได้ถูกเชิญไปฉายในเทศกาศภาพยนตร์หลากหลายประเทศในอีกหลายปีต่อมา แม้กระทั่ง โอชิม่า ผู้กำกับภาพยนตร์  In the Realm of the Senses (2519) กล่าวไว้ในงาน Manila International Film Festival ว่า "เหมือนล่องลอยไปตามกระแสน้ำที่พัดผ่านด้วยเวลาและจินตนาการของชีวิต" และนั่นคือ...มนต์ที่พ่อเสก ด้วยวิญญาณ ความคิด และจิตใจ ถ่ายทอดในทุกภาพสู่สายตาของคนดู




ผมคงเขียน และเล่าได้อีกมากเกี่ยวกับ ลูกอีสาน (2525) เพราะความโชคดีที่เป็นลูก และเวลาที่พ่อเลือกถ่ายทำ ตอนปิดภาคเรียนฤดูร้อน เวลาที่ผ่านมานับ เดือน ปี แต่ความทรงจำในบางเรื่องกลับชัดเจนมากขึ้นกับ......มนต์ที่พ่อเสก


หลายคนคงได้เคยดูภาพยนตร์เรื่อง ลูกอีสาน (2525) ที่มีความแปลกจากภาพยนตร์เรื่องอื่นตรงที่เรื่องดำเนินไปตามโครงสร้างที่คล้ายชีวิตที่ผันผ่านไปตามธรรมชาติของความจริงวันต่อวัน โดยที่ไม่เน้นความตื่นเต้นที่พล็อตภาพยนตร์ทั่วไปพัฒนาเรื่อง บางวัน บางตอนถ่ายทอดชีวิตของความเป็นอยู่ของชาวบ้านอีสานที่สุดแสนธรรมดา ดุจดังเศษผ้า ที่นำมาปะต่อปักเป็นผืนผ้า (TAPESTRY) ให้คนเลือกดูความงามของชิ้นส่วนที่นำมาปะติดปะต่อซับซ้อนพอที่จะแบ่งปันส่วนความงามที่สอดคล้อง และขัดแย้งบางขณะ มีคุณค่าเฉพาะ ความเข้าใจรอยปะ ปักนั้น ๆ .......พ่อเสกมันด้วยความคิด และจินตนาการที่ถ่ายถอนจากวรรณกรรม และสรรค์สร้างภาพเหล่านั้น ด้วยความเรียบง่าย และชับซ้อน แต่มีเวทมนต์ที่คงคุณค่า.......อีกนาน


อาจเป็นความบังเอิญ หรืออาจจะเป็นชะตากรรมของคนสองคนที่จะต้องผันผ่านมาทำงานด้วยกัน ทั้งที่ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ ในขณะที่ผมยังสอนหนังสือที่จุฬา ได้นำภาพยนตร์ที่ถูกเรียกว่า ภาพยนตร์ใต้ดินเรื่องแรกของไทย คือ ทองปาน (2519) ที่เป็นภาพยนตร์ถูกสร้างขึ้นในระบบ 16 มม.ขาวดำ เจตนาที่จะต่อต้านการสร้างเขื่อน มาฉายให้นักศึกษาวิชาวิจารณ์ภาพยนตร์ดู จู่ ๆ พ่อ กับ คุณเกียรติก็บอกว่าจะดู ทองปาน (2519) ด้วย และมากันเองโดยที่ไม่มีใครรู้ว่ามีเจตนาอะไร



ภาพ: องอาจ มณีวรรณ์  พระเอกภาพยนตร์ ลูกอีสาน  


จนกระทั่งอีกหลายเดือนต่อมา ตอนที่พ่อบอกว่าจะสร้าง ลูกอีสาน (2525) ผมถึงได้ทราบจากปากของพ่อว่า พ่อจะเอาชาวนาที่เล่นบทนำของ ทองปาน (2519คือ องอาจ มณีวรรณ์ มาเล่นเป็นพระเอก หลับตานึกก็เห็น ชาวนาตัวจริง ผิวดำ หัวที่เริ่มเถิก รับบทที่เหมาะสมที่สุดในแง่ความเป็นจริงเพราะเป็นคนอีสาน คงไม่มีใครที่เหมาะสมกว่าในแง่บุคลิกลักษณะ

แต่ในแง่ที่ทำภาพยนตร์เพื่อฉายให้คนไทยดูในเวลานั้น......พ่อต้องเสกมนต์ที่ขลังจริง ที่ให้คนอีกมายอมรับ  ไม่นับความลำบากในการตามตัว คุณองอาจ ที่คงไม่รู้ที่มาของการมาเป็นพระเอก และ วงโคจรที่ผ่านมาทาบกับ "คุณาวุฒิ" ครั้งแรกครั้งเดียว และเมื่อตอนที่เขาได้รางวัล พระสุรัสวดี นักแสดงยอดเยี่ยมในปี.......ทองปาน โพนทอง (พ่อตั้งชื่อจากที่มาของหนังเรื่องแรกของเขา กับตำบลที่เขาอยู่) กำลังเป็นหนึ่งในคนอีสานที่ทำงานอยู่ที่ ซาอุ........มนต์ที่พ่อเสกได้ครั้งแล้วครั้งเล่า กับการปั้นนักแสดงหน้าใหม่ ในภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาเหล่านั้น และได้รับรางวัล หรือ ที่เรียกว่า “เกิด” ในวงการบันเทิง



ภาพ: โต๊ะตัดต่อของ คุณาวุฒิ จัดแสดงอยู่ในนิทรรศการคุณาวุฒิ ๑๐๑ หอภาพยนตร์ 


เคยเห็นพ่อตัดต่อภาพยนตร์มาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อมักจะทำการตัดต่อที่บ้าน เคยถูกโดนด่าที่ดันเดินไปเหยียบฟิล์มที่พ่อโยนมันลงที่พื้น เพราะบางชิ้นมันคือก็อปปี้แรก ของภาพยนตร์ 16 มม. ที่ต้องฉายที่โรง ในสมัยนั้นถ่ายทำกันด้วยฟิล์มโพสิทีฟ ไม่มีเนกาทีฟเหมือนฟิล์ม 35 มม. ในสมัยนั้นพ่อคุ้นที่จะตัดต่อด้วยมือทุกอย่าง ใช้โต๊ะกินข้าวสมัยที่อยู่กุฎีจีนทำโต๊ะตัดต่อกับหนังทุกเรื่อง ผมยังเด็กเกินไปที่จะมีประโยชน์ จนกระทั่งสมัยที่พ่อทำหนัง 35 มม. และ ใช้ห้องแลปที่รามอินทราของอาปง ผมจึงมีโอกาสช่วย แต่ก็ต้องหลังจากการตัดด้วยมือและพากย์แล้ว เราต้องเข้าใช้เครื่องตัดต่อสตีนเบ็ค ที่พ่อไม่ถนัด เพราะพ่อใช้มือทำทุกอย่างมาตลอด


คืนหนึ่ง ขณะที่พ่อหมดแรง ลงนอนอยู่ข้างเครื่องตัดต่อ โดยใช้กระเป๋าเอกสารสีดำที่ใส่สคริปต์หนุนศีรษะ ผมดูการตัดแทนกับสุนิตย์ ลูกอาปงที่คุมเครื่องให้ เราดูมาถึงตอนที่ บักคูนช่วยพ่อสุดเรียกนกคุ่ม ฉากนี้เป็นฉากที่ผมไม่ได้อยู่ตอนถ่ายทำ และตอนพากย์ก็ดูอยู่หลายที แต่ก็เก็บความสงสัยมาตลอด ในฉากเห็นนกคุ่มเดินไปมาอยู่นาน และด้วยการเรียกของบักคูน นกคุ่มก็เดินเข้าติดกับที่วางไว้ ผมให้สุนิตย์ ฉายกลับไปมาหลายที พยายามดูว่านกมันเข้ากับดักได้อย่างไร


เพราะลองนึกภาพที่กองถ่าย และกล้องพร้อมคนอีกมากในบริเวณนั้นว่า นกคุ่มมันเข้าติดกับได้อย่างไร และถามสุนิตย์ว่าทำได้อย่างไร ดูเหมือนจริงมาก สุนิตย์เองก็ดูไม่ออกได้แต่ส่ายหัว ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นพ่อตื่นขึ้นมานานพอฟังที่เราคุยกันแล้ว และพูดขึ้นมาว่า "ของจริง นกคุ่มมันเดินเข้าจริง ๆ ตั้งกล้องรอ และเรียกกันอยู่นาน......." ถ้าพ่อไม่พูด ผมคงไม่เชื่อ และไม่คิดว่าเป็นไปได้ พ่อทำอย่างนี้หลายที ทั้งที่เห็นกับตาและเห็นบนแผ่นฟิล์ม.....ความตั้งใจแน่วแน่ของพ่อ ความจริงจังที่เอาวิญญานเข้าใส่ในการทำงานเป็น......มนต์พ่อที่เสก ให้หลายสิ่งหลายอย่างเกิด 




หนึ่งในตอนที่สนุกสนานในภาพยนตร์ ลูกอีสาน (2525) คือตอนที่ ทิดสุด และพรรคพวกนำสุนัขออกล่าสัตว์มาเป็นอาหารเนื่องจากความแห้งแล้ง ในฉากบ่งว่าเราต้องมีสุนัขไทยล่าสัตว์ที่สามารถล่าได้จริง และยังต้องมีพังพอนที่สามารถเล่นในฉากที่เสี่ยงชีวิต (พังพอน) เราถ่ายทำกันอยู่ที่อุบล และงานก็คืบหน้าไปได้พอสมควร พ่อเริ่มถามคนทั่วไปเรื่องหมาล่าสัตว์ แต่ก็ไม่มีคำตอบที่น่าสนใจ พังพอนก็เช่นเดียวกัน


พังพอนป่านั้นหาง่าย และก็มีคนเอามาขายให้เราหลายตัว เราซื้อเก็บไว้รอ แต่ด้วยความที่มันเป็นพังพอนป่า ไม่นานมันก็ตายจนหมด ความคืบหน้าเรื่องหมาก็ไม่มี เราส่งข่าวเข้ามาที่กรุงเทพ และในเวลาเดียวกันพ่อให้ข่าวไปที่สถานีวิทยุ และหนังสือพิมพ์ที่อุบลถึงความต้องการ แต่วันแล้ววันเล่าก็มีมาให้ดูแต่มักจะเป็นหมาที่อยากเป็นนักแสดงมากกว่าความเก่งของมัน เวลาผ่านมานานพอดู พ่อเริ่มหัวเสียกับความไม่คืบหน้า


จนวันหนึ่งก็มีข่าวมาเข้าหูเราว่ามีหมาอยู่คู่หนึ่งสวยมาก สีน้ำตาลแดง และล่าสัตว์เก่ง หาอาหารมาให้เจ้าของได้ทุกวัน เราฟังมาก็เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง เพราะผิดหวังกันมาหลายที แต่พ่อก็ส่งคนให้เดินทางไปดูเพราะอยู่ที่อำเภอที่ไกลพอควร เมื่อเขากลับมาก็ทำให้เรามีความหวังขึ้นเพราะเด็กที่ไปดูยอมรับว่าจริงทุกอย่าง เราส่งรถไปรับมาเพื่อเห็นกับตา และเย็นวันหนึ่งที่เรากลับจากการถ่ายทำเราก็ได้เห็นพระเอกหมาสองตัวที่ที่พักของเรา สมดังคำสรรพคุณ ทั้งสีสัน รูปร่าง และท่าทางของความฉลาด สำคัญที่สุดคือทั้งคู่เป็นหมาที่ฟังคำสั่งมาก เราเอาออกไปลองที่สนามข้างที่พัก และให้เจ้าของออกคำสั่งเหมือนการเทสต์หน้ากล้อง พระเอกสี่ขาทั้งสองผ่านชนิดที่พ่อยิ้มออกอย่างสบาย


เรานัดวันถ่าย พ่อปล่อยให้หมาทั้งสองกลับไปบ้านก่อน และให้มาวันก่อนถ่ายทำ ในขณะเดียวกันเสมือนโชคเข้าข้างเราได้ข่าวว่ามีพังพอนเชื่องแสนรู้อยู่ตัวหนึ่ง เป็นของทหาร และอยู่ในตัวเมืองอุบลนี้เอง เราเดินทางไปดู และพบดาราใหม่ พรจันทร์ พังพอนที่เชื่อง และเจ้าของสอนไว้หลายอย่างพอควร เช่นเรียกให้มาหา ให้หยุด ให้นอน แต่สิ่งที่ฉากนี้ต้องการ พรจันทร์อาจทำไม่ได้ คือการวิ่ง วิ่งหนีหมาเพื่อเอาตัวรอด และวิ่งหนีนักล่าอีสานที่หิวโหยของเรา เพราะพรจันทร์อ้วนมาก มันถูกเลี้ยงมาอย่างดี และตัวมันใหญ่กว่าพังพอนธรรมดามาก แต่พ่อก็ไม่มีทางเลือก เพราะมีบางฉากที่เราต้องใช้ 




คืนก่อนวันถ่ายทำเมื่อทานข้าวเย็นเสร็จ พ่อก็ขึ้นห้องนอน ตรวจบทเตรียมการถ่ายทำวันต่อไป แต่พอสักห้าทุ่มก็มีคนมาเรียกผมที่ห้องนอนให้ลงมาข้างล่าง และทราบว่าพระเอกหมาสองตัวของผมหายไปจากกองถ่าย ความคิดอย่างเดียวขณะนั้นคือหาให้เจอ เพราะถ้าพ่อรู้ ในสมัยนั้นจะมีอาการไข้กับผู้ผิด คือมีอาการร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะความกลัว ผมเกณฑ์ลูกน้องออกหากันอย่างเงียบๆ เพราะคิดว่าคงหาได้ เจ้าของหมาเองก็หน้าตาตื่นเพราะเป็นความผิดของเขาเองที่พามันทั้งสองออกไปที่สนามเพื่อทำธุระก่อนเข้านอน แต่มันเกิดวิ่งไล่ตามหมาแถวนั้นหายไปกับความมืด


การติดตามผ่านไปสองชั่วโมงไม่เกิดผล ยิ่งดึก เราก็รู้ว่ายิ่งยาก เพราะหมาทั้งสองนั้นไม่รู้ที่พักของมันเองแน่ คนเกือบทุกคนในกองถ่ายถูกเรียกออกมาช่วยกัน แต่ดูเหมือนความหวังยิ่งริบหรี่ ผมจึงขอให้ทุกคนออกรอบเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเวลาใกล้ตีสอง ผมเอาเจ้าของหมามากับผมเพื่อที่เขาจะใช้เสียงเรียกได้ดีกว่า เราเดินอ้อมมาทางหลังบ้านที่อยู่ ที่เป็นซอยชื่อแปลก คือซอยสเตนเลส และเป็นที่ล้อเลียนของเราเรื่องที่มีช่องโสเภณีอยู่ปลายซอยนี้ เราเดินมาเรื่อยจนถึงทางเดินตัดไปทางวัด ซึ่งกำลังมีงานวัด ผมเดินมาทางนี้สองรอบ แต่ไม่มีวี่แวว เราลองเดินฝ่าผู้คนอีกที




แต่ขณะที่ส่องสายตาหาอยู่นั้น ได้ยินเสียงหมาเห่าหลายตัวค่อนข้างดัง และรู้ว่ามีหลายตัวมาก เจ้าของหมาเองก็ได้ยินเช่นเดียวกับผม เรามุ่งไปทางนั้นเพราะเสียงยิ่งทวีความรุนแรง และชัดเจน และที่ปรากฎต่อสายตาเรานั้น ท่ามกลางฝูงคนที่แตกตื่นกับเหตุการณ์ ท่ามกลางฝูงหมาที่เรียงรายล้อมวงเป็นสภาพหมาหมู่นั้น พระเอกผมสองตัวอยู่กลางวันหันหน้าเห่าเตรียมสู้แบบสองต่อหมาวัดหมู่ มันเป็นภาพที่ประทับใจผมมานานแม้จนปัจจุบัน และก็ยอมรับว่าเจ้าสองตัวนี้มันแน่จริง ๆ แต่ในขณะนั้นความดีใจที่หาเจ้าสองตัวเจอ เรารีบไล่ตัวอื่น แล้วรีบนำพระเอกเรากลับกองถ่าย


เรื่องทั้งหมดถูกเก็บเงียบเพราะไม่มีใครอยากถูกด่า วันต่อมาเราถ่ายฉากนั้นได้ดีกว่าที่คิด เพราะพ่อเสกทุกอย่างได้ตามเคย เราได้ภาพที่ดี แม้แต่นายพรานทั้งหลายวิ่งไล่พังพอน และหมาของเราวิ่งไล่ และกัดเจ้าตัวที่เคราะห์ร้ายตาย ประการที่สำคัญ คือ พรจันทร์ปลอดภัยเพราะถึงเวลาจริงมันไม่ยอมทำอะไรเลย เพราะเหนื่อยและตื่นคนจนไม่ฟังคำสั่ง ที่สำคัญเจ้าของพรจันทร์เห็นความสามารถของสองพระเอกหมา ก็ไม่ยอมให้พระจันทร์เล่นด้วย เรายินยอมเพราะสวัสดิภาพของพรจันทร์


อุปสรรคอย่างเดียวก็คือ ตอนที่พระเอกเราตัวหนึ่งต้องถูกวางยาสลบ เพราะในเรื่องบ่งว่ามันถูกทุบจนใกล้ตายนั้น พระเอกหมาของเราไม่มีอาการ แม้โดนยาเข้าไปหลายขนาน คนวางเองจะไปมิไปแหล่ พระเอกเราก็เฉย เลือดปลอมก็เปราะไปหมด พระเอกเราก็เฉย แต่เราก็ถ่ายจนได้ โดยจับมันผูกไว้กับหลักไม่ไห้ขยับมาก ที่สำคัญมันขยับตัวด้วยความเมากลับดูเหมือนมันบาดเจ็บยิ่งสมจริง ......เช่นเคย ฉากนี้สมบูรณ์ และได้ดีกว่าที่เราคาด เพราะพระเอกหมาเราเก่งจริง และพ่อ......ก็เสกได้อย่างที่เคยทำมาวันแล้ววันเล่า



ความเลื่องลือของพ่อที่ดุมากเวลาทำงานนั้นมีมานาน นานตั้งแต่เริ่มเห็นทำงานภาพยนตร์ แต่ก็รู้มาตลอดว่ามีแต่คนอยากทำงานกับพ่อมาก มีแม้แต่พระเอกบางคนที่ขอเล่นฟรี เพราะพ่อเป็นเหมือนชื่อที่เป็นหลักประกันให้กับคนที่ทำงานกับพ่อได้ วันหนึ่งในขณะที่เรานั่งรอแดดเพื่อถ่ายทำ ไกรลาศ เกรียงไกร ก็พูดขึ้นมาแหย่ ทองปานว่า วันนี้หนาวไหม ทองปานหัวเราะรับเพราะเป็นวันที่เขามีฉากใหญ่ และรู้ว่าต้องโดนดุด่าแน่นอน มันเป็นการล้อเลียนในเชิงรัก แต่ก็เป็นอาการที่ทุกคนมี


ธงชัย ประสงค์สันติ ซึ่งโชคดีได้เล่นกับพ่อในภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา แหย่เกรียงไกรว่า "ไหนวันนั้นพี่ว่าพี่กลัวตุ๊กแกมาก ไม่กล้าจับเห็นก็ยังขยะแขยง แต่ฉากช่อมหลังคากระท่อม กลับถ่ายฉากจับตุ๊กแกได้อย่างดี เทคเดียวด้วย" เกรียงไกรหัวเราะในลำคอก่อนพูดเบา ๆ ว่า "กลัวว่ะ แต่กลัวครูมากกว่าตุ๊กแก" พ่อมักจะเสกให้คนทำ อะไรตามที่พ่อต้องการได้เสมอ แม้แต่ความความกลัวของพ่อ......ก็เสกคนอื่นได้ 


พ่อทำงานภาพยนตร์แต่ละเรื่อง มักจะทำการค้นคว้า และหาข้อมูลละเอียดมาก พ่อจะจดมันไว้ด้วยลายมือที่อ่านยากมากเพราะลายมือของพ่อตัวเล็กมาก เล็กกว่าคนอื่นหลายเท่า และไม่ค่อยเห็นใครเหมือน วันหนึ่งแม่เอาสมุดโน๊ตที่พ่อทำกับ "ลูกอีสาน" ให้ดู และเห็นพ่อเขียนไว้เรื่องลมหัวกุด จำได้ว่าวันที่ถ่ายทำฉากนี้เป็นวันที่ใกลัการปิดกล้องเต็มทีแล้ว และทุกคนก็เริ่มล้ามากกับการที่ถ่ายทำมานานสองเดือน ในฤดูร้อนที่อีสาน ตอนเช้าเราถ่ายทำต้นไม้ใหญ่ที่กลางทุ่งนาถูกฟ้าผ่ากลางวัน ตามบทที่จะบ่งไปถึงคำทำนายของเจ้าอาวาสที่ว่าปีนั้นจะแล้งมาก พ่อคงเสกให้ฟ้าผ่าไม่ไหว แต่เราฝังระเบิดไว้ที่กิ่งสองสามจุด แล้วเอาไปทำเอฟเฟคที่ญี่ปุ่น ออกมาดูเป็นฟ้าผ่ากลางวัน




เรามีปัญหาพอควร เพราะช่างเอฟเฟคระเบิดที่เราสั่งมาจากกรุงเทพไม่รู้ว่าต้องปีนต้นไม้สูงมาก และตัวเขาก็อ้วนมาก ต้นเตี้ยก็คงไม่ไหวอยู่ดี พ่อสั่งให้ทีมงานเราฝังระเบิดเองโดยที่ไม่เคยทำ ช่างเอฟเฟคออกคำสั่งจากโคนต้นไม้ แต่ก็ทำ ความกลัวของพ่อเสกให้คนทำอะไรก็ได้โดยใช้เวลาครึ่งเช้า ตอนบ่ายด้วยความที่มีเวลาหลังทานข้าว และเราก็ไม่มีฉากอื่นถ่าย พ่อสั่งให้ตั้งกล้องรอลมหัวกุด ซึ่งเป็นลมหมุนคล้ายทอร์นาโด แต่ไม่แรงมากอย่างในอเมริกา หรือในหนังที่เพิ่งฉายไปไม่นาน ฟังดูก็ค่อนข้างเพี้ยนดี ตั้งกล้องรอลมหัวกุดโดยที่ไม่รู้จะมีไหม หรือ มีที่ไหน ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ เราจอดรถรออยู่ที่ถนนลูกรัง ไม่มีใครผ่านมา บางคนก็นอนหลบแดด บางคนก็นั่งเล่น หรือคุยกัน พ่อลงนอนใต้ต้นไม้ไม่สนใจใคร คนนั่งเฝ้าลมก็เฝ้าต่อไป คุณพรนิติ (อ๊อด) วิริยศิริ ก็รออยู่ข้างกล้อง


เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งดูก็เหมือนการรอที่เลื่อนลอย เราเริ่มแหย่กันเอง หาสิ่งฆ่าเวลา แต่จู่ ๆ ท่ามกลางความเบื่อหน่ายนั้น ที่ปลายไกลพอสมควร เราเห็นฝุ่นฟุ้งขึ้น และเห็นฝุ่นรวมตัวเป็นวงหมุนไม่ใหญ่มากเคลื่อนที่ คนที่เห็นก็โหวกเหวกขึ้นมา คุณอ๊อด ก็หันกล้องขวับ แต่ไม่ถนัด และเราอยู่ไกลมาก พ่อตะโกนสั่งให้ บักคูน (ลูกอีสาน) ในภาพยนตร์ และบักจันดีวิ่งเข้าไปที่ลม เด็กทั้งสองคนวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต คุณอ๊อดถอดกล้องวิ่งตาม พร้อมทั้งผู้ช่วย แต่ความที่มันไกล ก่อนที่เด็กทั้งสองจะไปถึง ลมหัวกุดลูกนั้นก็สลายตัวเสียก่อน ถึงจะเหนื่อยทุกคนตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นกันมาก่อน โจษขานกันไปมา แต่ลึก ๆ คือความหวัง พ่อสั่งให้เรารอกันต่อ และทุกคนก็กลับไปสภาพเดิมของการรอคอย รออีกนานพอควรจนพ่อบอกว่า รออีกสักพักถ้าไม่ได้ก็กลับ


แต่ไม่นานต่อมา เราเริ่มเห็นเค้าที่ลมแห้ง และร้อนเริ่มพัดลม ทุกคนเตรียมพร้อม และกลางทุ่งนาท่ามกลางสายตาของพวกเราทุกคน ลมหัวกุดก่อตัวขึ้นเหมือนสั่ง บักคูณ และบักจันดีวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว และคุณอ๊อดออกตามพร้อมกล้องที่หนักในวงแขน เด็กทั้งสองวิ่งเข้าไปเล่นในวงแหวนของลมนั้นในขณะที่คุณอ๊อดคุกเข่าจับภาพได้อย่างที่ควรในสภาพนั้น เราวนถ่ายได้สองสามครั้งจนกระทั่งลมเริ่มจาง และหมุนหายไป พ่อดีใจมากที่ถ่ายได้ และพวกเราทุกคนก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน ฉากนี้อยู่ในภาพยนตร์ไม่นานมากนัก แต่ก็เป็นภาพที่แปลก เพราะด้วยเทคนิคหนังไทยสมัยนั้นคงทำไม่ได้นอกจาก......มนต์แห่งความพยายามที่แรงกล้าของพ่อ ที่รอ ที่หวัง และที่ผลักดันให้ทั้งทีมงานคิด และทำอย่างเดียวกัน 




เรื่องสุดท้ายที่คงมีคนรู้เพียงไม่กี่คน เพราะเหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นตอนที่เราเดินทางไปที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ที่บ้าน...เราไปกันเพียง พ่อ คุณอ๊อด คนขับรถ แค่ผมทำหน้าที่ขับรถแทน เราแวะดูเครนถ่ายหนังที่หมู่บ้าน......มาทิ้งไว้ตอนถ่าย ครูบ้านนอก (2521) พ่อคิดจะใช้ แต่มันอยู่ในสภาพที่แย่มาก เราเลยเดินทางต่อมา ใกล้เวลาเย็นขณะที่เราอยู่บนถนนลูกรัง และทางขวาเป็นเหมือนทะเลทราย ทุ่งหญ้าที่แห้งมากของทุ่งกุลา พ่อให้หยุดรถและลงไปดู เราเห็นเนินดิน เหมือนเขาที่สวยมากอยู่ไกล ๆ ไม่มีหินเป็นเหมือนเนินดินที่เห็นชัดเจน


พ่อบอกให้ขับรถไปที่เนินนั้นเพื่อหาสถานที่ถ่าย ความคิดของพ่อคือต้องการถ่ายขบวนเกวียนที่อพยพของชาวอีสานหนีความแห้งแล้ง ผมขับรถลงจากถนนมุ่งหน้าไปยังเนินดินที่เห็นไกล ๆ นั้น และที่รถวิ่งได้เพราะเป็นดินเรียบ และหญ้าแห้ง ขณะที่เรามุ่งหน้าไปนั้น เราเห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวมาสุดลูกตาเรามุ่งมาทางเราเช่นกัน ค่อนข้างแปลกต่อสายตา



จนเขาเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าเป็นมอเตอร์ไซต์ 3-4 คัน พ่อให้เราหยุดถามเขาว่าเนินที่เราเห็นอยู่ข้างหน้ารถไปถึงหรือไม่ และชื่ออะไร พวกนั้นทุกคนดูงุนงง เพราะไม่เข้าใจ และพอเราชี้ไปที่เนิน เรากลับมองไม่เห็นมันเป็นเนินเช่นเคย พ่อถึงกับงงมาก และหันมาถามผมว่าเราเลี้ยวรถหรือเปล่า แต่เราก็ไม่เห็นอยู่ดี จวบกับเวลาใกล้พลบ เราทุกคนได้แต่อึ้ง เพราะมองไม่เห็นจริงในเวลานั้น ทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้ พอพวกมอเตอร์ไซต์ขับไป พ่อก็หัน มาดูรอบ ๆ แต่ไม่พูดอะไร นอกจากสั่งให้ขึ้นรถ และบอกให้เราขับต่อไปอีกหน่อย สักครู่ก็สั่งให้หยุด เพราะแน่ใจว่าไม่เห็น และไม่มีเนินที่เรามุ่งมาแน่แล้ว พ่อสั่งให้กลับทางเดิม รถมาถึงถนนที่เดิม แต่มันก็มืดจนมองอะไรไม่เห็นแล้ว พ่อไม่พูดอะไร


จนระหว่างทางขากลับ พ่อเอ่ยขึ้นมาว่าเหมือนโดนผีหลอก เราทุกคนก็คิดเช่นเดียวกัน และทุกครั้งที่เล่าให้ใครฟัง หรือแม้แต่เขียนถึงนี้ ผมจะขนลุกทุกทีเพราะเห็นกับตาเช่นคนอื่น และอาจจะมากกว่าเพราะเป็นคนขับรถ พ่อไม่มีโอกาสที่ได้ถ่ายทำฉากนี้ แต่สิ่งที่อัศจรรย์ และตามมาหลอกหลอนพ่อในเวลาต่อมาคือตอนที่พ่อกับผมกำลังซอยหนังให้กระชับที่แลปรามอินทรานั้น เราสุมเศษฟิล์มไว้เต็มห้องตัดต่อขณะที่ผมพยายามหาเศษที่เราตัดออก และต้องเอากลับมาดูใหม่นั้น ผมหยิบเศษอันหนึ่งขึ้นมา จากมุมที่ใกล้กับกล่องฟิล์มที่กองอยู่ส่งให้พ่อ สุนิตย์ที่คุมเครื่องให้เราก็ต่อเข้าไปในเครื่อง และพ่อคงตกใจมากเพราะภาพที่ปรากฎบนจอสตีนเบ็ค คือ ภาพถ่ายระยะไกลของกองเกวียนสานจำนวนหลายเล่ม ใกล้พระอาทิตย์ตกดิน และเกวียนเหล่านั้นกำลังเคลื่อนอยู่บนเนินดินไกล ๆ




พ่อรีบเรียกให้ผมดู และถามว่าเอามาจากไหน ผมก็ตอบได้แต่เพียงว่าจากที่พื้นที่เราทิ้งเศษฟิล์มไว้เกลื่อน เรางงกันมาก เพราะเราไม่มีฉากนี้ และไม่ใช่ของเรา สุนิตย์เองก็งง เพราะไม่รู้ทั้งที่ทำงานในห้องนั้นบ่อยมาก เขาลงไปถามใครก็ไม่มีใครรู้ที่มา พ่อได้แต่ส่ายหัว เพราะเรารู้ในว่าในใจพ่อต้องการทำฉากนั้น แต่ไม่มีโอกาส และยังตามมาหลอกหลอน........ แม้บางขณะพ่ออาจเสกไม่ได้ แต่ผมรู้ว่ามันคงเป็นสิ่งที่พ่อต้องการทำ...... มนต์ที่ค้างคาของพ่อศักดิ์สิทธิ์พอที่เราได้เห็น และสอนเราให้คิดได้ว่าพ่ออยากเห็นอะไร พ่อเองก็บอกว่า "มันเหมือนอย่างที่ชั้นอยากทำ....”


พ่อตัดต่อ และซอยภาพยนตร์ ลูกอีสาน (2525) อยู่นานเป็นเดือน แม้ในขณะที่ทางไฟว์สตาร์ขอให้ความยาวไม่เกิน 120 นาที แต่เมื่อสุดท้ายพ่อทำใจได้แค่ 135 นาที และไม่ยอมตัดอีก ผมเองอยู่ด้วยตลอดในตอนนี้ก็ทำใจ และยอมรับลึก ๆ ในใจ ผมรู้ว่ามันทรมานความคิด และจิตใจพ่อมาก ที่เขียนบทสร้างสรรค์ให้มันเป็นภาพด้วยแรงกายและใจ นำมาผสมผสานเป็นเรื่องราว แต่หลายฉาก บางฉากที่ดีมาก ต้องถูกเอาออก เพราะกฎเกณฑ์ทางรอบภาพยนตร์ และธุรกิจการฉายวันละ 5 รอบ (วันธรรมดา)


พ่อยอมให้ยกออกกว่าครึ่งชั่วโมง เพราะความยาวตอนแรกเกือบสามชั่วโมง...... หยาดเหงื่อ ความคิดและวิญญาณของพ่อต้องถูกตัดออกด้วยมือตัวเอง วันสุดท้ายตอนที่พ่อไม่ยอมตัดอีกแล้วพ่อได้แต่พึมพำเองว่า "ชั้นทำได้แค่นี้" แต่แค่นี้ของพ่อ เป็นงานที่ผม และหลายคนทั้งในและต่างประเทศคงพึมพำแต่ว่า...... แค่นี้พ่อก็เสกมันด้วยมนต์ที่เราเรียกว่า "คุณาวุฒิ" 



ภาพ: คณิต คุณาวุฒิ ในกิจกรรมเปิดนิทรรศการคุณาวุฒิ ๑๐๑ ที่หอภาพยนตร์ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567