เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้รับข่าวดี เมื่อภาพยนตร์ที่หอภาพยนตร์อนุรักษ์ เรื่องพระเจ้าช้างเผือกและ ภาพยนตร์ข่าวพิธีลงนามและคำประกาศ ในแถลงการณ์ร่วมการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ภาพยนตร์ในคลังอนุรักษ์ของหอภาพยนตร์ได้รับการขึ้นทะเบียนนี้
โครงการขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจำแห่งโลกโดยยูเนสโก เกิดขึ้นในปี 2535 เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ ป้องกันการลืมเอกสารสำคัญและคอลเลกชันของห้องสมุดทั่วโลก พร้อมทั้งส่งเสริมการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสาธารณชนทั่วโลกถึงความสำคัญของมรดกในรูปแบบของเอกสาร
ที่ผ่านมายูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนเอกสารของประเทศไทยให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกแล้ว 6 รายการ ได้แก่
1. ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1
2. เอกสารจดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงปฏิรูปการบริหารการปกครองประเทศสยาม (พุทธศักราช 2411-2453)
3. จารึกวัดโพธิ์ (ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก)
4. บันทึกการประชุมคณะกรรมการสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ในรอบ 100 ปี
5. ฟิล์มกระจก ชุดหอพระสมุดวชิรญาณ
6. คัมภีร์ใบลาน เรื่อง อุรังคธาตุ
ในปี 2548 เป็นปีแรกที่เริ่มรวมสื่อภาพยนตร์และวีดิทัศน์ให้เป็นมรดกความทรงจำของโลกด้วย โดยภาพยนตร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกแล้ว เช่น ภาพยนตร์ของพี่น้องลูมิแอร์, The Wizard of Oz, The Story of the Kelly Gang (ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์เล่าเรื่องขนาดยาวเรื่องแรกของโลก) ภาพยนตร์บันทึกชีวิตและผลงานของ เออร์เนสโต เช กู วารา และเอกสารต้นฉบับผลงานการเขียนของเขา

ภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก และภาพยนตร์ข่าวพิธีลงนามและคำประกาศในแถลงการณ์ร่วมการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นสื่อภาพยนตร์เรื่องแรกของไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียน นอกจากภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องแล้ว ในปีนี้ยูเนสโกยังขึ้นทะเบียนเอกสารต้นฉบับนันโทปนันทสูตรคำหลวง ที่อนุรักษ์โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกด้วย
ภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงขนาดยาว สร้างโดย ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) เมื่อปี 2483 ขณะดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม (หลวงพิบูลสงคราม) ศ.ดร.ปรีดี แต่งนิยายเรื่องเดียวกันนี้เป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์ในระบบฟิล์ม 35 มม. ขาวดำ บันทึกเสียงในฟิล์ม สำเร็จและนำออกฉายเป็นรอบปฐมทัศน์สู่สาธารณชนครั้งแรกที่กรุงเทพฯ สิงคโปร์ และนิวยอร์ก ในวันเดียวกัน คือวันที่ 4 เมษายน 2484

พระเจ้าช้างเผือก นับเป็นผลงานภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการกระหายสงครามแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนที่กำลังเกิดขึ้นในโลกขณะนั้น และกำลังจะกระจายเป็นมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเป็นผลงานภาพยนตร์ที่ทำหน้าที่ประกาศอุดมการณ์สันติภาพและสันติสุขแก่โลก ตามที่ ศ.ดร.ปรีดี ต้องการ
ภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก ยังคงได้รับการจัดฉายเรื่อยมา ตั้งแต่ในยุคทศวรรษ 2510 เมื่อ ศ.ดร.ปรีดี ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และกลับมาฉายในประเทศไทยอีกครั้งที่สยามสมาคมในปี 2523 ซึ่งในการจัดฉายครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเผยแพร่ภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก ในประเทศไทยและต่างประเทศเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
พระเจ้าช้างเผือก ได้รับเลือกให้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติและกิจกรรมสำคัญ ๆ มากมายทั่วโลก เช่น กิจกรรมครบรอบ 100 ปี กำเนิดภาพยนตร์ ที่จัดขึ้นโดยยูเนสโกในปี 2538 เทศกาลภาพยนตร์แพนเอเชีย เมืองโดวิลล์ ประเทศฝรั่งเศส เทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกง เทศกาลภาพยนตร์เวอซูล กิจกรรมฉายภาพยนตร์มินิคิโน บาหลี อินโดนีเซีย การจัดฉายที่ฮุมโบลด์ฟอรัม ประเทศเยอรมนี เมื่อปี 2564

ภาพ: ปรีดี พนมยงค์ (กลาง) ในกองถ่าย พระเจ้าช้างเผือก
กว่า 80 ปีที่ พระเจ้าช้างเผือก ทำหน้าที่เป็นเสมือนทูตสันถวไมตรีเผยแพร่แนวคิดสันติภาพให้คนดูทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของโลก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นที่มาของการก่อตั้งหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อทำหน้าที่ธำรงสันติภาพของโลก ผ่านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม หรือยูเนสโก นั่นเอง
ถึงแม้ว่าเมื่อครั้งออกฉายภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก จะถูกวิจารณ์ในแง่คุณภาพและเทคนิคการสร้างต่าง ๆ แต่แนวคิดสันติภาพที่อยู่ในภาพยนตร์ยังคงเป็นแนวคิดเหนือกาลเวลาที่สำคัญต่อโลกในทุกยุคสมัย

ภาพ: เอกสารที่ ปรีดี พนมยงค์ มอบฉันทะให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ประสาท สขุม เป็นผู้มีอำนาจในการเจรจาเผยแพร่ภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก ในประเทศต่าง ๆ
ในแง่ของการอนุรักษ์ ภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องยาวที่สร้างก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ของประเทศไทยเพียงเรื่องเดียวที่เหลือรอดอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เป็นตัวอย่างของผลงานภาพยนตร์ซึ่งเป็นสื่อมวลชนและมหรสพมวลชนยอดนิยมของโลกในเวลานั้น ที่ทำให้เห็นการผสานขนบการสื่อสารและการแสดงแบบดั้งเดิมของไทยกับการแสดงแบบภาพยนตร์ของตะวันตก
สิ่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในครั้งนี้ นอกจากฟิล์มภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก ทุกเวอร์ชันที่หอภาพยนตร์อนุรักษ์ไว้ ยังมีเอกสารจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก ที่เก็บรักษาไว้ที่สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกด้วย

ภาพ: หนึ่งในฟิล์ม พระเจ้าช้างเผือก ที่หอภาพยนตร์อนุรักษ์
ภาพยนตร์ข่าว พิธีลงนามและคำประกาศในแถลงการณ์ร่วมการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภาพยนตร์ข่าวเงียบของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บันทึกเหตุการณ์พิธีลงนามในคำประกาศและแถลงการณ์ร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีของ 5 ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ในการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations) หรือ ASEAN (อาเซียน) ณ ห้องประชุม กระทรวงการต่างประเทศ วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนพร้อมทั้งเอกสารจดหมายเหตุเกี่ยวกับการก่อตั้งสมาคม ที่เก็บอนุรักษ์โดยหอจดหมายเหตุแห่งชาติอินโดนีเซีย หอจดหมายเหตุแห่งชาติมาเลเซีย และหอจดหมายเหตุแห่งชาติสิงคโปร์ การขึ้นทะเบียนเอกสารการก่อตั้งอาเซียนนี้ เป็นการขึ้นทะเบียนร่วมกันของหน่วยงาน 5 ประเทศข้างต้น
เอกสารการก่อตั้งอาเซียน เป็นชุดเอกสารจดหมายเหตุสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวการรวมตัวของ 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ซึ่งร่วมลงนามในปฏิญญาอาเซียนเมื่อปี 2510 ต่อมากลายเป็นสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่เรารู้จักกันในนาม “อาเซียน”

เอกสารการก่อตั้งอาเซียนชุดนี้แสดงให้เห็นว่าอาเซียนก่อตั้งขึ้นบนแนวคิดที่ลึกซึ้ง คือการเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านให้กลายเป็นมิตรแท้ และสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันในภูมิภาคที่เคยมีความขัดแย้งมาก่อน ถึงแม้ประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราช และมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็น แต่กลับมีวิสัยทัศน์และความกล้าหาญในการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองระหว่างประเทศให้มีความสันติและมั่นคงมากขึ้น

