เสน่ห์บางกอก เป็นผลงานภาพยนตร์ที่ วิจิตร คุณาวุฒิ หรือ “คุณาวุฒิ” สร้างในนามบริษัทของครอบครัว แหลมทองภาพยนตร์ จากบทละครวิทยุของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ โดยทดลองแหวกตลาดด้วยการนำเพลงลูกทุ่งกับบรรดานักร้องลูกทุ่งนำโดย พร ภิรมย์ มาเป็นจุดขาย ก่อนจะกลายเป็นต้นแบบของหนังเพลงลูกทุ่งไทยที่นิยมในเวลาต่อมา ภาพยนตร์คว้า 2 รางวัลตุ๊กตาทองให้แก่คุณาวุฒิ คือผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม และ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่กลับล้มเหลวทางรายได้อย่างสิ้นเชิง
บทวิจารณ์ฉบับนี้ เป็นข้อเขียนของ จินตนา ยศสุนทร ศาสตราจารย์ด้านอักษรศาสตร์ และคอลัมนิสต์ผู้ใช้นามปากกาว่า “จ.ย.ส.” ซึ่งเขียนลงคอลัมน์ “ขอบจอ” ในนิตยสารแฟนสัมพันธ์รายเดือน เมื่อครั้งที่ภาพยนตร์ออกฉายในปี 2509 โดยได้ชี้ให้เห็นความดีเด่นและคุณค่าของ เสน่ห์บางกอก ที่แตกต่างจากหนังไทยทั่วไปในเวลานั้น ซึ่งกลับถูกผู้ชมมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
---------------------------------
เสน่ห์ที่บางกอกมองข้าม
โดย จ.ย.ส.
และทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายถึง เสน่ห์ โกมารชุน เพราะบางกอกไม่ได้มองข้าม เจ้าแม่ตะเคียนทอง ของเราไปเลย ตรงกันข้ามกลับให้ความสนใจอย่างอุ่นหาฝาคั่งเสียอีก
แต่ถ้า “บางกอก” เป็นผู้หญิงก็จะต้องพ้อกันสักหน่อยว่าช่างเป็นผู้หญิงที่ดูใจยากเสียจริง ๆ หนังไทยขณะนี้ล้นบางกอกก็จริง แต่ไม่มีใครรู้ใจบางกอกเลยว่าจะสนใจชอบหนังแบบไหน “คุณาวุฒิ” คงจะรู้ดีกว่าใคร เพราะทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่ทำงานกับหนังไทยมานานและได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ชนิดอาจพูดได้ว่ายิ่งกว่าใคร ๆ อื่นในงานอาชีพด้านนี้ และได้ใช้ความพยายามอยู่เสมอที่จะทำงานใหม่ที่แปลกที่ปราณีตที่บรรจงเลือกด้วยรสนิยมที่เหมาะสมมาเสนอให้บางกอก แต่บางกอกก็ได้มองข้าม เสน่ห์บางกอก ของเราเสียอย่างไม่มีเยื่อใยดีเอาเสียเลย
พูดกันอย่างเป็นธรรม ยังไม่เห็นหนังไทยสักเรื่องในระยะ 2-3 ปีที่แล้วมานี้ ที่จะมีรสแปลกน่าตื่นตาตื่นใจกว่าเขาอื่นอย่าง เสน่ห์บางกอก
ภาพ: อาจินต์ ปัญจพรรค์ และ วิจิตร คุณาวุฒิ ขณะเซ็นสัญญาสร้างภาพยนตร์ เสน่ห์บางกอก ที่สหศีนิมา
เหมือนดังที่โฆษณาเอาไว้ ผู้แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกเสียจากภาวนา ชนะจิตร แล้ว ไม่มีอีกเลยแม้แต่คนเดียวที่เคยปรากฏหน้าบนจอเงิน (ยกเว้นพระเอก คือ พร ภิรมย์ ซึ่งขึ้นจอเฉลิมเขตร์ในเรื่อง เงิน เงิน เงิน ในระยะพร้อม ๆ กัน) แต่คนที่ดูหนังเพื่อดูหนังกันจริง ๆ ไม่ใช่เพื่อดูดาราคนนั้น เชียร์ดาราคนนี้ หรือดูเฉพาะเรื่องของคนนั้น ไม่ดูของคนนี้แล้ว คงจะต้องพูดเหมือนกันทุกคนว่า ความบันเทิงใจที่ได้รับจากการแสดงไม่ขัดเขินเลยของนักแสดงหน้าใหม่ ๆ นี้ มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าดูหนังเรื่องใหญ่ที่มีดาราผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเรียงหน้ากันจนล้นจอนั้นไม่เลย
หรือถ้ายิ่งจะมองดูในมุมกลับกันแล้ว กลับจะพูดได้เต็มปากเสียอีกว่า การได้ดูบทบาทของดาราหน้าใหม่ ๆ ที่แสดงความสามารถของเขาได้แทบไม่มีที่ตินี้ เป็นกำไรตาของคนดูเสียยิ่งกว่าต้องไปทนดูบทบาทของดาราผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่แสดงอย่างขอไปที อย่างไม่มีชีวิตจิตใจ เพื่อข้ามจากจอโน้นไปจอนี้นั้นเสียอีกเป็นไหน ๆ
ผู้เขียนไม่ประหลาดใจเลยเมื่อมาได้ทราบภายหลังว่า พร ภิรมย์ ไม่ได้หน้าใหม่ในวงการแสดง หน่วยก้านของเขาบอกให้รู้ทีเดียว การแสดงอารมณ์ในสีหน้าและดวงตา ทั้งบึ้งโกรธ ขมขื่น โศกเศร้าตลอดจนซาบซึ้ง ทำได้ดีขนาดดาราตุ๊กตาทองบางคนที่ทำอะไรไม่ได้
เจ็บใจอยู่นิดว่าความดีของบทบาท ทั้งนี้ต้องมาด้อยลงอย่างไม่น่าเลย เพราะการแต่งหน้าเจ้ากรรมที่ทำให้พระเอกของ เสน่ห์บางกอก ขาวอยู่เพียงแค่คอเท่านั้น
พร ภิรมย์ คงจะไม่มีวันเด่นเป็นพระเอกหัวนอกคาบกล้องได้กับเขา เพราะท่าไม่ให้ โดยเฉพาะท่าเดินเหิน ยังคงจะต้องแก้ไขกันอีกพอดูกว่าจะทำให้เขาเป็นพระเอกได้เต็มตัว แต่ใครอีกสักกี่คนจะรับบทพระเอกนักมวยได้แนบเนียนเท่าเขาใน เสน่ห์บางกอก นี้
เราจะปรบมือให้ใครดี ให้ พร ภิรมย์ เอง หรือให้คุณาวุฒิ ผู้กำกับการแสดงที่ปลุกปล้ำฝึกฝนเอาบทบาทที่ควรค่ากับคำว่า “นักแสดง” ที่แท้จริงออกมาจนได้ จากคนที่ใคร ๆ มองข้ามไป เพราะคิดว่าเป็นแค่นักร้องลูกทุ่งคนหนึ่งเท่านั้น
คงจะมีคนเป็นจำนวนมากเหมือนกันที่ไม่ยอมไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะบอกกับตนเองว่า เพื่อจะไปดูหน้านักร้องลูกทุ่งร้องเพลงลูกทุ่ง หารู้ไม่ว่า ทั้ง ๆ ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้บรรจุเพลงไว้เป็นสิบเพลง ก็ไม่ได้มีตอนไหนสักตอนที่ใครจะต้องมาบ่นรำคาญเพลงลูกทุ่ง เพราะคุณาวุฒิได้จัดสอดใส่เพลงหล่านั้นไว้เป็นแบ็คกราวด์ที่กลมกลืนกับบรรยากาศแต่ละตอนของเนื้อเรื่องได้อย่างน่ามหัศจรรย์ใจอะไรเช่นนั้น
นอกจากเพลงที่ได้บรรยากาศแล้ว เสน่ห์บางกอก ยังเสนอทิวทัศน์ท้องทุ่งไทยที่เราเคยเห็นจนเบื่อตาแล้วนั้น ด้วยแง่มุมที่สวยจับใจตื่นตาอย่างแทบไม่น่าเชื่อ น้อยที่จะเคยเห็นในภาพยนตร์เรื่องอื่น เป็นอันว่าภาพดวงอาทิตย์ขึ้นมองผ่านเกวียนที่จอดนิ่ง ภาพชาวนาที่เก็บเกี่ยว สุ่มปลาฝูงเป็ดลอยมาตามน้ำ ฯลฯ ส่วนภาพกรุงเทพมหานครที่ชิน ๆ ตากันนี้ ดังเช่น ถนนราชดำเนิน ภูเขาทอง เสาชิงช้า ฯลฯ ก็กลับมาดูแปลกตามีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
สรุปแล้ว ถ้าจะพูดโดยส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่าคะแนนนิยมที่น่าจะได้แก่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็เห็นจะได้มาจากความเป็นไทย ๆ ของเรานี่เอง แม้กระทั่งมรดกของไทย ๆ เรา เช่น บ้านนอกเข้ากรุงเช่าโรงแรมห้องเดียวนอน ๓ คน หลงใช้ยากีวีขัดรองเท้าแทนครีมใส่ผม เตรียมกากมะพร้าวมาแบ่งกันใช้ในกรุงเทพ ฯ ไม่รู้เบื่อหน่าย เป็นต้น ก็กลับมาก่ออารมณ์ขันที่ไม่มีพิษมีภัยให้ได้อีกโดยไม่ขัดเขิน สิ่งเหล่านี้น่าจะสร้างความชื่นชมที่เต็มไปด้วยศรัทธาและราคาจริง ๆ แก่ผู้ดู แต่ถ้าหากบางกอกเขาเมิน เสน่ห์บางกอก ไปเสีย ก็คงไม่ใช่อื่นไกล เป็นเพราะเราลืมตัวหลงไปชอบเป็นฝรั่งจอมปลอมเสีย หรือมิฉะนั้นก็ไม่กล้าส่องกระจกดูตัวเองนั่นเอง
จะมองในด้านศิลปการถ่ายทำภาพยนตร์ ก็ยังจะมองเห็นฝีมือของคุณาวุฒิที่ไม่เคยพบได้อีกหลายประการ ฉากบ้านช่องท้องนาก็ล้วนเป็นของจริงสมจริง ไม่ใช่ฉากประเภทมองดูแล้วเป็นฉาก อย่างที่ผู้กำกับการแสดงอีกหลายคนลืมคิดถึงความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์และละคร
เทคนิคและแง่มุมของการถ่ายโดยเฉพาะ ก็ได้ผลตามที่ตั้งใจ ภาพรถยนต์ชนจักรยานแล้วภาวนาลอยกระเด็นไปก็ดูสมเป็นจริงเป็นจัง ตอนรถยนต์วิ่งตกถนนลงไปในน้ำก็เช่นกัน มุขตลกที่รถยนต์พังทีละชิ้น ๆ ถึงจะเป็นตลกขอยืมฝรั่งมาก็ทำได้แนบเนียน การถ่ายภาพใกล้ของการชกมวยบนเวทีทำให้ภาพที่เห็นเป็นจริงจัง ชนิดไม่มีวันจับได้ว่าพระเอกตัวจริงไม่ใช่นักมวยเลย
แต่ชิ้นเอก เห็นจะต้องยกไว้ตอนที่ถ่ายให้เห็นคู่หูตัวอ้วนของพระเอกวิ่งแอบไปตีระฆังข้างเวทีเพื่อช่วยพระเอกมิให้ถูกนับครบสิบ
ชิ้นรองลงมาก็คงได้แก่ ภาพถ่ายจากมุมใบหน้าให้เห็นความอาลัยอาวรณ์ของพระเอกที่มองนางเอกในระหว่างพิธีทำขวัญนาค
ภาพ: วิจิตร คุณาวุฒิ ขณะกำกับ พยงค์ มุกดา ใน เสน่ห์บางกอก
และบทความนี้ก็คงไม่ครบถ้วน ถ้าจะไม่เอ่ยถึงบทบาทของ พยงค์ มุกดา ซึ่งเป็นพ่อที่สมบทมาก เท่า ๆ กับตัวแม่ซึ่งสาวไปสักหน่อย ตัวน้องสาวพระเอกจะชื่ออะไรจำไม่ได้ แต่ความสวยและความสามารถทางด้านแสดงพูดได้ว่าเหนือดารารูปงาม ๆ ของจอเงินที่เราเห็นกันจนเจนตาเป็นโหล ๆ อีกหลายคน
แต่ถ้าจะให้เลือกว่า อยากจะยกอะไรเป็นเอกใน เสน่ห์บางกอก ก็อยากจะบอกว่า คือความเป็นหนังไทยเรื่องเดียวในรอบหลายปีที่พระเอกไม่จำเป็นจะต้องเป็นพ่อพระนักบุญ หรือเจมส์บอนด์ หรือซูเปอร์แมน เพราะพระเอกของเราในเรื่องนี้ขะโมยพระ หนีบวช ถูกจี้ แพ้ผู้ร้าย และเป็นพระเอกคนเดียวของจอไทยที่วิ่งมาช่วยนางเอก แล้วมาหยุดพักที่เชิงบันไดให้กล้องจับมองเห็นว่ายังหอบอยู่ เหงื่อโซมหน้าทีเดียว