เบื้องหลังการสร้างแบบจำลองซีเนมาโตกราฟ – ประดิษฐกรรมภาพยนตร์ยุคบุกเบิกของโลกที่กลายเป็นของหายาก – อันเป็นภารกิจสุดท้าทายของ ศุภชัย วอทอง ช่างกลึงไทยผู้มีพื้นเพมาจากภาคอีสาน และหลงใหลใฝ่ฝันในความน่าอัศจรรย์ของเครื่องฉายหนังกลางแปลงมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะต้องมารับหน้าที่แกะรอยภูมิปัญญาของพี่น้องลูมิแอร์แห่งฝรั่งเศส ผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนให้กำเนิดภาพยนตร์โลกอย่างเป็นทางการ
---------
โดย พุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู
* ปรับปรุงจากฉบับพิมพ์ครั้งแรกในจดหมายข่าวหอภาพยนตร์ ฉบับที่ 29 กันยายน-ตุลาคม 2558
เช่นเดียวกับเด็กต่างจังหวัดหลายคน เมื่อประมาณ 35 ปีก่อน ศุภชัย วอทอง หรือ ช่างเต๋อ ช่างกลึงหนุ่มใหญ่วัย 47 ปี ผู้มีพื้นเพอยู่ที่จังหวัดยโสธร ก็เคยมีความทรงจำที่ผูกพันกับหนังกลางแปลงซึ่งเป็นสีสันในยามค่ำคืน
เพียงแต่ความผูกพันที่แตกต่างออกไปจากเด็กคนอื่น เพราะในขณะที่เพื่อน ๆ กำลังตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ปรากฏบนจอ ความสนใจของเขากลับตกอยู่ที่เครื่องฉายหนัง หลงใหลใฝ่ฝันจนเก็บเอามาทำเล่นเองที่บ้าน
“อย่างเด็ก ๆ นี่ ผมชอบดูหนังนะ แต่ก่อนจะเป็นหนังกลางแปลง แต่เวลาไปดู ผมชอบดูเครื่องฉายมากกว่า (หัวเราะ) เวลาหนังขาดแต่ละที ช่างฉายหนังเขาก็จะตัดฟิล์มที่เสียทิ้ง พวกเราก็แย่งกันตามประสาเด็ก ๆ แล้วกลับมาทำเครื่องฉายเล่นเองอยู่บ้าน ทำแบบเด็ก ๆ โดยใช้ไม้ตะเกียบสองอันเสียบเข้ากับกล่องกระดาษด้านข้างให้ทะลุอีกฝั่ง จัดให้อยู่ข้างบนตัว ข้างล่างตัว ห่างกันประมาณสามนิ้ว แล้วก็เอาฟิล์มที่แย่งมาได้มาพันเข้ากับไม้ตะเกียบตัวบน ทำเป็นที่สำหรับใช้ม้วนฟิล์ม เสร็จแล้วก็เอาปลายอีกด้านของฟิล์ม มาพันเข้ากับไม้ตะเกียบตัวล่าง เพื่อใช้หมุนเลื่อนเฟรม สุดท้ายก็เจาะช่องด้านหน้าและด้านหลังของฟิล์ม ด้านหลังสำหรับใช้ไฟฉายส่องผ่านฟิล์มทะลุช่องด้านหน้าให้เกิดภาพไปยังจอหนัง ซึ่งทำจากผ้าเช็ดหน้า แต่ก่อนผ้าเช็ดหน้าสีขาวจะมีกรอบคล้าย ๆ กับจอหนัง ก็เอาไปขึงแล้วเอาไฟฉายส่องฟิล์มเล่นกัน”
แต่เพราะการฉายหนังประสาเด็กนั้นเกิดมาจากความรักในเรื่องเครื่องยนต์กลไกเป็นที่ตั้ง เขาจึงไม่ได้คิดฝันจะมาทำงานเป็นพนักงานฉายหรืออยู่ในวงการภาพยนตร์ ช่างเต๋อเติบโตขึ้นด้วยปณิธานอันแรงกล้าว่าจะเป็นช่างมาตั้งแต่เด็ก ด้วยรักและชื่นชอบในงานช่างยนต์ แต่ภายหลังจากเรียนจบชั้น ม.3 พี่ชายซึ่งเป็นช่างกลึง ได้ชักชวนให้เขามาฝึกงานอยู่ในโรงกลึงที่กรุงเทพฯ เขาจึงต้องเบนเข็มจากความฝันในการเป็นช่างยนต์กลายเป็นช่างกลึงมานับตั้งแต่นั้น
กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน หลังจากที่เขาได้ขยับขยายออกมาเปิดโรงกลึงของตนเองบริเวณถนนพุทธมณฑลสาย 4 ช่างเต๋อได้บังเอิญรับงานดัดแกนล้อฟิล์มของหอภาพยนตร์ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้เข้ามาผูกพันกับเรื่องภาพยนตร์อีกครั้ง ด้วยการมีโอกาสทำงานด้านช่างให้หอภาพยนตร์อยู่เป็นระยะ จนเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 โดม สุขวงศ์ ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ ได้เสนอภารกิจใหญ่ให้แก่เขา นั่นคือการจำลอง ซีเนมาโตกราฟ (Cinematograph) ประดิษฐกรรมที่มีความสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลก และกลายเป็นของล้ำค่าอันหาได้ยากยิ่งแล้วในปัจจุบัน ภายใต้เงื่อนไขเพียงข้อเดียวว่า ต้องจำลองทุกอย่างไว้ให้เหมือนของดั้งเดิมทุกประการ !
ภาพ : ภาพวาดแสดงการฉายหนังด้วยเครื่องซีเนมาโตกราฟที่ฝรั่งเศสเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
“คุณโดมเขาก็เอารูปมาให้ผมดูว่า ช่างเต๋อ ผมอยากได้แบบนี้ ทำได้ไหม ผมก็ว่ามันน่าสนใจ ก็เลยลองไปขอศึกษาดูก่อน ว่ามันมีความเป็นไปได้แค่ไหน เสร็จแล้วก็เริ่มหาข้อมูลกัน ซึ่งข้อมูลเรามีน้อย ผมไม่มีข้อมูลอะไรเลย ก็มีคุณโดมเขาถ่ายเอกสารมาให้บ้าง แล้วก็ส่งเมลมาบ้าง ส่งเป็นคลิปยูทูบมาบ้าง”
“ผมก็อยากทำนะ คือว่ามันมีกลไกเยอะ เราชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ว่าก็ไม่รับปากแกทันที เพราะก็หวั่นอยู่ว่ามันอาจจะไม่สำเร็จก็ได้ อะไหล่ทุกชิ้นมันไม่มีขาย คอนเซ็ปต์ของมันก็คือ เน้นอะไหล่ทุกชิ้นให้เหมือนตัวต้นแบบมากที่สุด น็อตแต่ละตัว สกรูแต่ละตัว ต้องมีรูปทรงที่โบราณ อย่างทุกวันนี้เราจะไปหาสกรูรูปทรงเก่า ๆ แค่หนึ่งตัวนี่ก็ไม่มีแล้ว อย่างตัวเกี่ยวบานประตูซีเนมาโตกราฟนี่ก็ต้องทำขึ้นเอง ทำขึ้นใหม่หมดเลย ทุกชิ้นจะไม่มีขายตามท้องตลาด”
หลังจากใช้เวลาศึกษาข้อมูลอยู่ประมาณ 2 เดือน ทั้งค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เพิ่มเติม รวมถึงต้องหาคนช่วยแปลข้อมูลซึ่งส่วนมากเป็นภาษาฝรั่งเศส เดือนเมษายน เขาเริ่มสะกดรอยบรรพชนนักประดิษฐ์ภาพยนตร์เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ด้วยการลองร่างแบบขึ้นเพื่อหาขนาดของเครื่องและกลไกต่าง ๆ บนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขาฝึกหัดเรียนรู้ด้วยตนเอง เมื่อภาพในหัวเริ่มออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาคม เขาจึงตัดสินใจตกปากรับทำภารกิจที่อาจเรียกได้ว่ายากที่สุดชิ้นหนึ่งในชีวิต
ย้อนกลับไปที่ซีเนมาโตกราฟ ประดิษฐกรรมชิ้นนี้ได้รับการคิดค้นขึ้นโดย ออกุสต์และหลุยส์ ลูมิแอร์ สองพี่น้องลูกชายเจ้าของโรงงานอุปกรณ์ถายภาพนิ่งแห่งเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส ในยุคที่ภาพยนตร์โลกยังไม่ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีความพิเศษกว่าประดิษฐกรรมภาพยนตร์ของนักประดิษฐ์รายอื่น ๆ ตรงที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด ใช้งานได้สะดวกหลากหลาย เนื่องจากสามารถเป็นทั้งกล้องถ่าย เครื่องพิมพ์ และเครื่องฉายได้ในตัวเดียวกัน
ซีเนมาโตกราฟได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1895 ณ ห้อง Salon Indien ใต้ถุนร้านกาแฟ Grand Café ภายในโรงแรม Scribe แห่งกรุงปารีส ด้วยการฉายภาพยนตร์เก็บค่าเข้าชมจากสาธารณชน ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับในทางสากลว่าเป็น “วันกำเนิดภาพยนตร์โลก” ผลงานของพี่น้องลูมิแอร์จึงมีความสำคัญยิ่งในฐานะเป็นสิ่งประดิษฐ์ซึ่ง “ให้กำเนิดภาพยนตร์” รวมทั้งเมื่อพวกเขาได้ส่งพนักงานนำซีเนมาโตกราฟจาริกออกไปเผยแผ่ฉายภาพยนตร์ตามเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลกในเวลาต่อมา ประดิษฐกรรมรูปทรงจัตุรัสนี้ก็ได้กลายไปเป็นจุดเริ่มต้นการกำเนิดภาพยนตร์ในประเทศต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย
ภาพ : ศุภชัย วอทอง หรือ “ช่างเต๋อ” กับแบบจำลองซีเนมาโตกราฟที่ทำสำเร็จเป็นเครื่องแรก
การได้มาจำลองแบบซีเนมาโตกราฟจึงคล้ายเป็นการสานฝันในวัยเด็กของช่างเต๋อให้เป็นจริง จากที่เคยทำแต่เครื่องฉายหนังเด็กเล่น มาวันนี้ เขากำลังจะได้ทำเครื่องฉายหนังที่ความหมายพิเศษไปกว่าเครื่องฉายหนังใด ๆ ในโลกนี้ เมื่อต้องเริ่มลงมือทำ ช่างเต๋อพบว่าปัญหาใหญ่ในการจำลองประดิษฐกรรมชิ้นนี้คือเรื่องของขนาด เพราะตัวอย่างแบบต่าง ๆ ที่เขาค้นข้อมูลได้มานั้นต่างมีขนาดและสัดส่วนไม่เท่ากัน เนื่องจากซีเนมาโตกราฟของพี่น้องลูมิแอร์นั้น แม้จะมีอายุอยู่แค่ประมาณ 10 ปี แต่ก็มีการผลิตออกมาหลายรุ่น สุดท้าย เขาจึงยึดเอาขนาดของฟิล์มภาพยนตร์ซึ่งกว้าง 35 มม. เป็นหลักในการวางสัดส่วนกลไก
แต่ความยากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นการที่ต้องจำลองทุกอย่างออกมาตามแบบต้นฉบับ ซึ่งไม่อนุญาตให้เขานำความรู้ด้านช่างมาประยุกต์เครื่องมือชิ้นนี้ทำงานง่ายขึ้นได้เลย เพราะจะผิดไปจากกลไกดั้งเดิม บางครั้งเขาจึงต้องเข้าไปสำรวจกล้องถ่ายหรือเครื่องฉายภาพยนตร์โบราณที่มีจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย เพื่อศึกษาแนวทางกลไกการทำงานของประดิษฐกรรมด้านภาพยนตร์เหล่านี้ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ในขณะที่อะไหล่ต่าง ๆ นั้น ก็ต้องผลิตขึ้นมาเองใหม่เกือบทั้งหมด
หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นานกว่า 7 เดือน ปลายปี 2557 ซีมาโตกราฟฝีมือคนไทยชิ้นแรกจึงแล้วเสร็จ ท่ามกลางข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยเฉพาะงานไม้ที่เป็นส่วนประกอบภายนอกและเป็นงานที่เขาไม่ถนัด ซึ่งถือเป็นบทเรียนให้ได้นำมาพัฒนาสำหรับการประดิษฐ์งานชิ้นต่อไป
“ตัวนี้ผมไปให้ช่างไม้เขาทำให้ แต่การเข้าไม้มันก็ไม่อยู่ในคอนเซ็ปต์ของคุณโดม ของคุณโดมนี่ต้องการเข้าไม้แบบโบราณ โดยไม่ต้องใช้ตะปู เป็นลิ่ม แต่ว่าตัวนี้ด้วยความที่ว่าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับงานไม้น้อย ก็เลยให้ช่างไม้ที่รู้จักเขาทำให้ ก็ยังไม่ถูกใจเรื่องรอยต่อ ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเลยมาศึกษา เปิดดูในเน็ต เสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าไม้ จนไปเจอเว็บหนึ่งของเมืองนอก เขาจะมีเครื่องมือสำหรับเข้ามุม ผมก็เลยสร้างเครื่องมือเข้าไม้นั้นขึ้นมา เพื่อจะได้ทดลองวิธีการเข้าไม้ ถ้าพัฒนาตัวต่อไปนี่ผมน่าจะสามารถเข้าไม้เองได้แล้ว และไม้คงจะเปลี่ยนไปใช้ไม้นอก พวกไม้วอลนัทให้สมเป็นของต่างประเทศ แต่ตัวแรกยังเป็นไม้สักอยู่
“ตัวแรกเริ่มทำจริง ๆ จัง ๆ เลยก็เดือนพฤษภา เสร็จธันวา ใช้งานได้เลย ถ้าจะทำตัวที่สองเราก็จะรู้เทคนิคแล้ว แต่ก็ยังต้องพัฒนา อย่างตัวแรกกลไกที่เราออกแบบมา พอมาประกอบรวมกันแล้วมันค่อนข้างจะใหญ่ ตัวที่สองจะต้องลดขนาดพวกกลไกให้เล็กลง ทำเฟืองมาก็ต้องลองใส่เฟืองว่ามันขบกันดีไหม”
ช่างเต๋อบอกว่าการที่ได้มาจำลองเครื่องซีเนมาโตกราฟในครั้งนี้ ทำให้เขาอดทึ่งกับภูมิปัญญาของงานช่างในสมัยก่อนไม่ได้ โดยเฉพาะส่วนที่ช่วยให้ฟิล์มสามารถเลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างสะดวก หรือที่เรียกว่า “กวักฟิล์ม” เพราะเป็นงานต้องอาศัยความสัมพันธ์ในการทำงานของกลไกหลายส่วน และต้องผ่านการคำนวณมาอย่างแม่นยำ ชนิดที่พลาดไม่ได้แม้แต่มิลลิเมตรเดียว ซึ่งในแง่มุมทางประวัติศาสตร์ กวักฟิล์มนี้เองที่เป็นเคล็ดลับสำคัญในความสำเร็จอันงดงามของพี่น้องลูมิแอร์ เมื่อหลุยส์ ลูมิแอร์ ได้ดัดแปลงกลไกของจักรเย็บผ้า ให้กลายมาเป็นกวักฟิล์มในซีเนมาโตกราฟ จนสามารถใช้งานได้อย่างดี หลังจากล้มเหลวมาแล้วหลายชิ้นก่อนหน้านี้