สรุปสาระสำคัญจากการจัดกิจกรรมสนทนาครั้งแรกของหอภาพยนตร์ผ่านทาง Clubhouse ในวาระครบรอบ 20 ปี ฟ้าทะลายโจร หนังไทยเรื่องแรกที่ได้รับเลือกให้ฉายที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
------------------
โดย เมธากุล ชาบัญ นักศึกษาฝึกงานหอภาพยนตร์
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) เปิดห้อง Clubhouse เพื่อร่วมพูดคุยกับ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับภาพยนตร์คนสำคัญ ในวาระครบรอบ 20 ปีที่ ฟ้าทะลายโจร เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับเลือกให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2544 นำสนทนาโดย ชลิดา เอื้อบำรุงจิต และ ก้อง ฤทธิ์ดี ซึ่งเดิมที หอภาพยนตร์มีกำหนดฉายภาพยนตร์ ฟ้าทะลายโจร พร้อมกิจกรรม Masterclass โดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ในวันที่ 8 พฤษภาคม แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กิจกรรมดังกล่าวต้องถูกเลื่อนออกไป
“จริง ๆ ตอนนี้มันก็กลับมาอินเทรนด์อีกทีนะครับ ฟ้าทะลายโจรเนี่ย ตอนนี้เขาบอกว่ามันกันโควิดได้ (หัวเราะ)” วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง กล่าวติดตลกก่อนเริ่มการสนทนา ถึงแม้ว่าหัวข้อการสนทนาจะว่าด้วยวาระครบรอบ 20 ปีที่ ฟ้าทะลายโจร ได้รับเลือกให้ฉายที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปี 2544 แต่อันที่จริงภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ลงโรงฉายในไทยเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 ดังนั้นในปีนี้ ฟ้าทะลายโจร จึงมีอายุมากกว่า 20 ปี และก่อนที่จะได้ไปคานส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติแวนคูเวอร์เมื่อตุลาคม 2543 พร้อมกับ ดอกฟ้าในมือมาร ผลงานของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
“พอหนังฉายแล้วก็กำลังเจ๊ง ผมก็บินไปแวนคูเวอร์เลย (หัวเราะ) ผมว่ามันคงจะประหลาดไปนิดหนึ่งสำหรับคนไทย หรืออาจจะดูว่ามันเชย มันเป็นหนังย้อนยุค ก็ไม่เป็นไร แล้วพอฉายสักพักผมก็ต้องไปแวนคูเวอร์แล้ว ก็เลยไม่ค่อยรับรู้ตัวเลขรายได้อะไรเท่าไหร่ แล้วพอกลับมาก็ทราบว่า มันเจ๊งมาก (หัวเราะ)” วิศิษฏ์ กล่าว ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ร่วมรุ่นอย่าง นางนาก หรือ สตรีเหล็ก ที่ต่างก็ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้สูง และทำให้บรรยากาศภาพยนตร์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งจนต่อมาได้รับการขนานนามว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ในช่วงทศวรรษที่ 2540 แต่ วิศิษฏ์ ก็หวังเพียงให้แรงกระเพื่อมเหล่านี้ส่งผลให้ ฟ้าทะลายโจร มีรายได้ในระดับเท่าทุนพอ ไม่ต้องทำเงินถึงขั้นนั้น
“ตอนนั้นก็เชื่อว่าหนังรสชาติแบบนี้คนไทยชอบ เป็นหนัง Melodrama ครบรส มีตลก มี Action คือพยายามทำตามขนบหนังไทยโบราณ แต่ปรากฏว่าคนดูคงรู้สึกว่ามันโบราณไปก็เลยไม่ดูกัน ก็รู้สึกผิดหวังตามสภาพของคนทำหนัง จะบอกว่าไม่หวังก็คงโกหก แต่พอตอนนี้ย้อนกลับมาดูก็รู้สึกสมควรแล้วที่จะเจ๊ง (หัวเราะ) พอแก่ตัวก็เริ่มเข้าใจว่าตอนนั้นมันก็บ้าพลังไปหน่อย (หัวเราะ)” วิศิษฏ์กล่าว
สำหรับแรงบันดาลใจในการสร้าง ฟ้าทะลายโจร วิศิษฏ์ เล่าว่าตนเติบโตมาในยุคหนัง 16 มม. และในตอนเด็ก ๆ ก็จะได้ดูหนังกลางแปลงซึ่งมักจะเป็นแบบคาวบอยไทย ที่มีพระเอกเป็น “เสือ” ผสมผสานกับความเป็นคาวบอย อันเกิดจากความนิยมภาพยนตร์คาวบอยจากตะวันตกในหมู่ชาวไทย ประกอบกับอิทธิพลจากนวนิยายของ ป. อินทรปาลิต อาทิ เสือใบ เสือดำ ดาวโจร “ผมไม่ได้เป็นต้นทาง แค่ไปเลียนแบบแล้วก็พยายามนำมันมาทำด้วยเทคนิคของปัจจุบันเท่านั้นเอง แต่ว่าวิธีของหนัง วิธีของการถ่ายทำ กระทั่งการแสดงที่บางคนก็รู้สึกว่าทำไมมันเล่นแข็งกันอย่างนี้ คือเราตั้งใจให้คล้ายหนังโบราณ ซึ่งความตั้งใจนี้มันก็เลยทำให้คนดูยุคนั้นรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ประหลาดเกิน แต่ผมก็เข้าใจเขานะ ตัวผมเองก็อาจจะลุ่มหลงในหนังยุคนั้นมากเกินไป แล้วก็มีความอยากทดลองในเรื่องของศิลปะด้วย” วิศิษฏ์ กล่าว พร้อมกับยกเครดิตให้กับกิจกรรมของมูลนิธิหนังไทย “ทึ่ง! หนังไทย” ซึ่งเคยจัดขึ้นเมื่อราวปี 2538 ทำให้ตนได้มีโอกาสรับชมภาพยนตร์ไทยชั้นครูในอดีตจนนำมาสู่การสร้าง ฟ้าทะลายโจร
ชลิดา เอื้อบำรุงจิต ได้เล่าย้อนถึงกิจกรรม “ทึ่ง! หนังไทย” ซึ่งในขณะนั้นตนยังทำงานเป็นอาสาสมัครของหอภาพยนตร์ว่า เกิดจากการที่ Rank Film Laboratories ติดต่อมาว่ามีฟิล์มเนกาทีฟของภาพยนตร์ไทยค้างอยู่ที่นั่น เนื่องจากในสมัยนั้นมักนิยมส่งฟิล์มไปล้างที่อังกฤษ โดย โดม สุขวงศ์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ในขณะนั้นได้นำฟิล์มที่ตกค้างอยู่กลับมายังประเทศไทย โดยมีทั้งภาพยนตร์จากละโว้ภาพยนตร์ ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ หนุมานภาพยนตร์ ของรัตน์ เปสตันยี และคันจราภาพยนตร์ ของเทวมิตร กุญชร ณ อยุธยา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง สวรรค์มืด (2501) ที่กำกับโดย รัตน์ เปสตันยี เมื่อนำกลับมาแล้วก็เกิดความคิดว่าควรนำมาจัดฉาย เนื่องจากภาพยนตร์เหล่านี้มีน้อยคนที่ได้เคยรับชมในโรง
ภาพ : ภาพยนตร์เรื่อง โรงแรมนรก (2500)
“ตอนเราเรียนเราก็ไม่ค่อยประทับใจในหนังไทย เพราะไม่ค่อยมีให้ดูเท่าไหร่ มีแต่หนังทั่ว ๆ ไป แต่พออันนี้ก็ทำให้เรารู้สึกว่า หนังไทยก็มีครูเหมือนกันนะ มี Master แล้วมันก็ทำให้เราอยากทำงานอนุรักษ์ แล้วมันก็สำคัญนะ กับการที่คนจะได้ดูหนังในแบบที่มันควรจะเป็น อย่างตัวเองที่ได้ค้นพบว่าพอมาดู Copy สวย ๆ หรือแม้แต่หนังขาว-ดำอย่าง โรงแรมนรก (2500) พอเรามาดูก็รู้สึกว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจเยอะมาก” ชลิดา กล่าว
“โรงแรมนรก นี่ Master มากจริง ๆ” วิศิษฏ์ เสริม “มันสนุกมาก คือได้ยินชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้จาก อ.กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน เคยเขียนถึง แล้วเราก็ไม่เคยเห็นหนังจนกระทั่งได้เห็นจากเทศกาล ทึ่ง! หนังไทย แล้วก็เป็นแรงบันดาลใจมาก รู้สึกว่าเรามีคนระดับครู ระดับ Master อย่างคุณรัตน์ เปสตันยี แล้วเราไม่รู้จักได้อย่างไร เราโกรธตัวเองว่า เอ๊ะ เรารู้จักคนทำหนังระดับโลกทั้งหมด แต่เรากลับไม่รู้จักคนของเราเอง ซึ่งซุกซ่อนอยู่ แล้วคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักด้วย” วิศิษฏ์ ได้เล่าต่อไปว่าหลังจากนั้นจึงได้ไปค้นคว้าประวัติของ รัตน์ กับหอภาพยนตร์ทำให้ได้พบว่า นอกจากการเป็นคนทำภาพยนตร์ไทยแล้ว รัตน์ ยังเป็นผู้ที่อุทิศชีวิตให้กับวงการภาพยนตร์ไทยด้วย และเมื่อตนได้สร้าง ฟ้าทะลายโจร จึงได้อุทิศภาพยนตร์เรื่องนี้แด่ รัตน์ ดังข้อความที่ปรากฏในช่วงท้ายของภาพยนตร์
ภาพ : รัตน์ เปสตันยี (ขวาสุด) ในงานประชุมสมาคมผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไทย วันที่ 17 สิงหาคม 2513
ในแง่มุมของกระบวนการสร้าง วิศิษฏ์ เปิดเผยว่า ฟ้าทะลายโจร ถ่ายทำด้วยฟิล์มเหมือนกับภาพยนตร์ทั่ว ๆ ไป เพียงแต่การทำสีภาพที่มีความจำเป็นต้องทำมากกว่าเทคนิคทาง Lab ตามปกติ แต่เนื่องด้วยตนเคยทำงานโฆษณามาก่อนจึงไม่ใช่ปัญหา จึงใช้วิธีเดียวกันกับการทำโฆษณาเพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ คือการนำฟิล์มมาแปลงเป็นดิจิทัลเพื่อทำการ Color grading แล้วแปลงกลับมาเป็นฟิล์มอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนั้นทำที่ออสเตรเลียเนื่องจากที่ไทยยังไม่ได้คุณภาพที่ดีพอ โดยผู้ที่ทำการ Color grading คือ ออกไซด์ แปง ซึ่งต้นแบบของสีที่ปรากฏในภาพยนตร์ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ไทยในอดีตจาก ทึ่ง! หนังไทย
ไม่เพียงแต่สีเท่านั้น หลังจากที่ วิศิษฏ์ ได้รับชมภาพยนตร์ใน ทึ่ง! หนังไทย ก็เกิดความมุ่งมั่นในการศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ของงานสร้างภาพยนตร์ไทยในอดีตเพื่อนำมาใช้ในงานของตน เช่น การจัดแสง “เรียกได้ว่านางเอกตาแทบบอด เพราะเราจัดไฟเหมือนสมัยก่อนมาก สุมไฟเข้าไป แล้วหนังสมัยก่อนเขาจะให้นางเอกตาสวยหยาดเยิ้มมาก ก็จะมีไฟอีกดวงหนึ่งคอยจี้ที่ดวงตา ซึ่งจะสวยมากแต่นักแสดงทรมานมาก พอสั่งคัตปุ๊บ! แกน้ำตาเล็ดออกมาเลย” วิศิษฏ์ กล่าว หรือแม้กระทั่งตัวนางเอก วิศิษฏ์ ก็ต้องการนักแสดงที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับนางเอกเรื่อง แพรดำ (2504) ของรัตน์ ซึ่งก็ได้ สเตลล่า มาลูกี้ มาแสดง
ภาพ : (ซ้าย) รัตนาวดี รัตนาพันธ์ จากภาพยนตร์เรื่อง แพรดำ (2504) และ (ขวา) สเตลล่า มาลูกี้ จากภาพยนตร์เรื่อง ฟ้าทะลายโจร (2543)
ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ วิศิษฏ์ ยังได้นำแนวทางของภาพยนตร์ไทยในอดีตมาใช้ อาทิ การแต่งนิยายเรื่อง ฟ้าทะลายโจร โดย ศ. จินดาวงศ์ (ศิริพรรณ เตชจินดาวงศ์) ภรรยาของตน ซึ่งก็ตั้งใจแต่งนามปากกาให้เหมือนกับนักเขียนในอดีต และ การทำละครวิทยุทาง Fat Radio เนื่องจากภาพยนตร์ไทยในอดีตมักจะมีสิ่งเหล่านี้ออกพร้อม ๆ กันไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการประชาสัมพันธ์โดยรถแห่ การทำโชว์การ์ด และการทำโปสเตอร์โดย เปี๊ยก โปสเตอร์ ตำนานแห่งผู้รังสรรค์ใบปิดภาพยนตร์ไทย และที่พิเศษขึ้นมาอีกคือ ฟ้าทะลายโจร มีการออกแบบฟอนต์เป็นของตนเองชื่อว่า SR FahtalaiJone NP โดย โรจ สยามรวย
สำหรับก้าวสำคัญของ ฟ้าทะลายโจร คือการที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับเกียรตินี้ ก้อง ฤทธิ์ดี เล่าถึงกระแสตอบรับในครั้งนั้นว่าพอไปในบริบทต่างประเทศ ฟ้าทะลายโจร ได้รับการนิยามว่าเป็นภาพยนตร์ “โพสต์โมเดิร์น” ซึ่งเป็นคำใหม่ในยุคนั้น และได้รับการเขียนถึงเยอะมากผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น นิตยสารภาพยนตร์สำนักต่าง ๆ และเป็นที่แน่นอนว่าคนเหล่านั้นย่อมไม่รู้จัก รัตน์ เปสตันยี ตลอดจนภาพยนตร์ไทยในอดีต Gone with the Wind (2482) จึงมักถูกนำมาเปรียบเทียบ และหยิบยกขึ้นมาว่าเป็นแรงบันดาลใจของ วิศิษฏ์ ตลอดจนหนังตระกูล Spaghetti Western หรือภาพยนตร์คาวบอยยุโรป นอกจากนี้ ยังมีความพยายามประดิษฐ์คำขึ้นมาเพื่ออธิบายคุณลักษณะของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง Spaghetti Mekhong หรือ Pad Thai Western ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าการรับรู้ภาพยนตร์เรื่องนี้ในหมู่คนดูชาวต่างชาติมีความแตกต่างกับชาวไทยและน่าสนใจมาก ที่ทั้งหมดล้วนนำมาเชื่อมโยงเข้ากับประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
“ถ้าเขาเปรียบเทียบกับ Gone with the Wind เปรียบเทียบกับหนังคาวบอยยุโรปอย่างนี้ มันแปลว่า เขาเห็นว่าภาพยนตร์มันเดินทางไปเรื่อย ๆ มันมีคนใหม่มา แต่ว่าอิทธิพลหรือมรดกของหนังที่สร้างไว้แต่เก่าแก่มันก็ส่งผลมาถึงคนทำหนังรุ่นใหม่ แล้วก็กระจายไปทั่วโลกด้วย” ก้อง กล่าว
ภาพ : ภาพยนตร์เรื่อง Gone with the Wind (2482)
หลังจากกระแสความดังในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ฟ้าทะลายโจร จึงได้มีโอกาสเดินทางต่อไปยังเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ โดยมี Miramax เป็นผู้ซื้อไปจัดจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ในช่วงแรก วิศิษฏ์ ก็รู้สึกดีใจ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 9/11 Miramax จึงขอให้ วิศิษฏ์ ตัดต่อตอนจบของ ฟ้าทะลายโจร ใหม่เป็นแบบที่พระเอกไม่ตาย เนื่องจากบริษัทมีความเห็นว่าในช่วงนั้นไม่เหมาะที่จะให้คนอเมริกันดูอะไรเศร้า ๆ “เราก็พยายามต่อสู้นะ ว่าหนังมันถูกดีไซน์มาแบบนี้ ก็เถียงกันไปเถียงกันมา จนเขาก็ส่ง Editor เป็นฝรั่งมาเลย มาที่เมืองไทยแล้วก็มานั่งตัดข้างผม ก็แก้จนพระเอกไม่ตาย แล้วก็เป็น Version ที่ไปฉายที่ซันแดนซ์ เป็น Version ที่เจ็บปวดมาก ดูไปแล้วก็ไม่ชอบเลย รู้สึกว่าถ้าอเมริกาฉาย Version นี้ ขอฆ่าตัวตายดีกว่า ก็โชคดีที่เขายังตัดสินใจไม่ฉาย ไม่รู้ว่าด้วยอะไรจน Miramax มันปิดไป นานจน 7-8 ปีต่อมา มีบริษัท Magnolia ซื้อต่อไป แล้ว Magnolia ก็ตัดสินใจว่าจะฉายฉบับดั้งเดิม เราก็ โห! ค่อยยังชั่ว ก็คือ 7 ปีหลังจากนั้นอเมริกาถึงจะฉาย แต่ก็ได้ข่าวว่าเจ๊งเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ)” วิศิษฏ์ เล่าถึงความทรงจำอันเจ็บปวด
สำหรับช่วงท้าย ได้มีเหล่าผู้ฟังมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความทรงจำ และความประทับใจที่มีต่อ ฟ้าทะลายโจร ตลอดจนภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ของวิศิษฏ์ อาทิ ประวิทย์ แต่งอักษร นักวิจารณ์ภาพยนตร์ กล่าวว่า “หนังเรื่อง ฟ้าทะลายโจร มันเป็นชัยชนะของการอนุรักษ์ภาพยนตร์ ถ้าเกิดพี่วิศิษฏ์ไม่ได้ดู ทึ่ง! หนังไทย วันนั้น ผมว่าก็ไม่มีหนังเรื่อง ฟ้าทะลายโจร หรือถ้าทำก็จะไม่ออกมาเป็นอย่างนี้”
ขณะที่ พิมพกา โตวิระ ผู้กำกับภาพยนตร์ ได้แสดงความคิดเห็นในมุมมองของสื่อ เนื่องจากขณะนั้นตนได้ทำงานเป็นนักข่าวและมีโอกาสได้ตามไปทำข่าวเรื่องนี้ที่คานส์ด้วย พิมพกา มองว่าคนที่ทำงานวิเคราะห์หรือวิจารณ์ภาพยนตร์ไทยยังมีน้อยอยู่ และในสมัยนั้น สื่อหรือโอกาสที่จะทำให้บทวิจารณ์นั้นแพร่หลายก็มีน้อย จึงทำให้ขาดการสร้างองค์ความรู้ภาพยนตร์ไทยที่แข็งแกร่งไป ต่างจากสื่อตะวันตกที่สามารถมอง ฟ้าทะลายโจร แล้วเชื่อมโยงกับภาพยนตร์ตระกูล Spaghetti Western ได้ เช่นเดียวกับ ศาสวัต บุญศรี อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อได้ฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าหรือเรารู้จักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยน้อยเกินไป
นอกจากนี้ก็ผู้ฟังบางท่านเอ่ยปากว่าเข้ามาผิดห้องเพราะคิดว่าเป็นห้องเกี่ยวกับสมุนไพรต้านโรคโควิด-19 ซึ่งก็บังเอิญกับที่ วิศิษฏ์ กล่าวติดตลกไปในตอนต้น แต่ถึงกระนั้นผู้ฟังรายนี้ก็ยังได้บอกว่าตนชอบผลงานเรื่อง เปนชู้กับผี (2549) ของ วิศิษฏ์ เป็นอย่างมาก
วิศิษฏ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายขอบคุณผู้คนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อย่างเหล่าแฟนหนัง นักวิชาการ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ที่คอยเขียนหรือพูดถึง ตลอดจนคอยเชียร์ผลงานของตนให้สามารถไปต่อได้ ถึงแม้จะไปต่อไม่ได้ในบางครั้ง สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนกับการที่ตนกำลังเดินอยู่กลางทะเลทรายแล้วทันใดนั้นก็มีน้ำมาพรมให้ตนรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นบ้าง และขอขอบคุณเหล่าคนดูรุ่นใหม่ ๆ ที่ชอบในผลงานของตน “ก็ยังจะพยายามทำอะไรที่ถูกใจคนดูอยู่ จริง ๆ เราไม่ได้มีเจตนาที่จะทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองขนาดนั้น คิดไว้ทุกเรื่องว่ามันจะได้เงินแต่มันก็ไม่ได้ ตอนนี้พยายามจะทำเพื่อให้คนดู ดูแล้วออกจากโรงด้วยความสุข ดูแล้วรู้สึกคุ้มกับเงินที่เสียไป เท่านี้ก็พอใจแล้ว” วิศิษฏ์ กล่าว
สำหรับกิจกรรม 20 ปีฟ้าทะลายโจรและ Masterclass โดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง หอภาพยนตร์จะกลับมาจัดอีกครั้งเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย สามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง www.facebook.com/ThaiFilmArchivePage และ www.fapot.or.th